กรรมวาที วิริยะวาที
เราต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างหนัก ที่จะเอาความรู้ที่ใช้สร้างสุขดับทุกข์มาใส่ตัวเราให้ได้ แต่ความรู้เพื่อสร้างสุขดับทุกข์ ไม่มีในสัญญาความจำของเราเลย ความรู้สร้างสุขชั่วคราวทุกข์ถาวรก็ทำหน้าที่ของมัน ตามที่มันสั่งเรามาตลอดชีวิตเรา
อันนี้ล่ะมันเลยเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย รู้แล้วจะทำก็ยาก เหตุที่เราทำได้ยากเพราะเราไม่รู้จริง ๆ การกระทำของเราจึงยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ยากขึ้นเพราะเราไม่รู้จริง เมื่อเราไม่รู้จริงก็ไม่ทำ พอเราไม่ทำ ก็ไม่มีความชำนาญเกิดขึ้นในการกระทำที่เป็นการสร้างสุข แต่ไปสนใจทำสิ่งที่สร้างทุกข์ มีแต่ความชำนาญในการสร้างทุกข์ให้กับตัวเราเองมันเป็นอย่างนั้น แทนที่เราจะมีความชำนาญในการสร้างสุขแก่ตัวเรา ก็กลายเป็นว่าเรามีความชำนาญในการสร้างทุกข์ให้กับตัวเรา ชีวิตเราดูดี ๆ น่าใจหายนะ เราก็เห็นคนทั่วไปอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองขณะนี้ คนทั้งหลายไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้น คือข้อมูลสร้างทุกข์ ไปบำเพ็ญข้อมูลสร้างทุกข์ให้กับตัวเขาเอง โดยที่เขาเต็มใจหรือภูมิใจในการกระทำสิ่งเหล่านั้นด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก แม้แต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พระพุทธเจ้าก็เห็นความจริงอย่างนี้ ท่านก็ไม่สามารถจะช่วยได้ทุกคน ท่านจึงช่วยเหลือผู้ที่ช่วยได้เท่านั้น ใจจริงท่านก็อยากจะช่วยทุกคน แต่ทุกคนมันใส่ข้อมูลอวิชชา หรือความไม่รู้ หรือข้อมูลสร้างทุกข์มามากจนไม่มีโอกาสที่จะมองเห็นอีกด้านหนึ่งได้ เพราะแต่ละวันคนก็ใส่แต่ข้อมูลสร้างทุกข์อย่างเดียว ไม่มีโอกาสคิดเป็นอย่างอื่น ถ้าเราคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เราก็ไม่มีการใส่ข้อมูลสร้างสุขดับทุกข์ หรือข้อมูลพระธรรมให้กับตัวเองได้ การที่เราไม่ได้ใส่ข้อมูลให้กับตัวเอง ก็ถือว่าเป็นความวิบัติของชีวิต เพราะสิ่งที่ดีงาม ที่ชีวิตเราต้องการ เราก็ให้ตัวเราเองไม่ได้ เพราะเราไม่มีจะให้
อันนี้มันน่าใจหาย หรือน่าเจ็บใจ ว่าชีวิตเรามันน่าจะมีอะไรที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ คือความจริงมนุษย์เรามีศักยภาพที่จะพัฒนาความจริงที่เราศึกษาเรียนรู้มาเป็นลำดับ ๆ จนถึงความจริงสูงสุดก็คือนิพพาน แต่ว่าความจริงสูงสุดนี้ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก แต่ความเพียรพยายามนั้น ถูกขัดขวางด้วยความเชื่อคือ ความพอใจ ไม่พอใจ เพราะความเชื่อเลยเป็นเจ้าชีวิตเรามานมนาน ถ้าหากเราจะนำความจริงมาสร้างชีวิตใหม่ จะต้องมีการเพียรพยายามอย่างจริงจัง แต่ว่าความเพียรพยายามอย่างจริงจังของคนเรานั่นมันเป็นไปได้ยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความเพียรพยายามของเรานั่นมันไปเพียรพยายามอีกด้านหนึ่ง คือด้านสร้างทุกข์ ด้านสร้างสุขเราไม่มีความเพียรพยายาม
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะข้อมูลที่สั่งให้เราสร้างสุขไม่มีในใจเรา เรามีแต่ข้อมูลสั่งให้เราสร้างทุกข์ เมื่อตัวเรามีข้อมูลสั่งให้สร้างทุกข์อยู่มากในชีวิตเรา เราจึงสร้างสุขไม่ได้ง่าย ๆ แล้วเมื่อข้อมูลสร้างทุกข์มันมีมาก มันก็เบียดบังเอาเวลาชีวิตเราไปหมด เวลาของชีวิตเราที่จะมอบให้แก่ตัวเราเองก็ไม่มี แล้วเวลามันไปไหน มันก็ถูกความพอใจไม่พอใจของเราเอาไปหมด นั่นคือให้เราสร้างได้แต่ข้อมูลสร้างทุกข์ เวลาชีวิตเรานั้นไม่มีโอกาสให้กับข้อมูลสร้างสุขแก่ตัวเราเอง เราจะบำเพ็ญข้อมูลสร้างสุขนี้ก็แสนจะยากเย็น เพราะ ๑. ข้อมูลมันมีน้อย ๒. เวลามีให้ไม่พอ
ที่เวลามันมีให้ไม่พอ เพราะว่าระบบสร้างทุกข์ให้กับตัวเองมันเป็นอัตโนมัติ ในเมื่อมันเป็นอัตโนมัติแล้ว มันทำงานเร็ว เราจะไปเอาข้อมูลสร้างสุขดับทุกข์ไปแทรกตรงไหน และแทรกอย่างไร เราก็ต้องมาศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง ต้องหมั่นฟังธรรม เพียรศึกษาเรียนรู้ธรรมเป็นประจำ ก็เพราะเราจะเอาข้อมูลสร้างสุขดับทุกข์ไปแทรกในวัฏจักรของการสร้างทุกข์ของเราให้ได้ ถ้าเราแทรกไม่ได้ ชีวิตเราก็ไม่มีค่า ก็เป็นเหมือนสัตว์โลกทั้งปวง คือหนีทุกข์ไปหาสุข กินนอนสืบพันธุ์ไปวัน ๆ เท่านั้น เสร็จแล้วก็หมดอายุขัย ก็ตายไปแล้วก็เกิดอีก เกิดอีกก็ไปสร้างทุกข์บำเพ็ญความทุกข์ให้กับตัวเองแล้วก็ตายอีก แล้วก็เกิดอีก ตายอีกวนเวียนอย่างนี้ มันถึงได้เป็นวัฏจักรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นทุกข์นับไม่ได้ มันไม่น่าเชื่อ ว่าคนเรานี่ทำไมสร้างให้ตัวเองเวียนว่ายตายเกิด วัฏสงสารของทุกข์ มานับภพนับชาติไม่ถ้วน มันคืออะไร มันเป็นความต้องการของเราจริง ๆ อย่างนั้นหรือ
จิตใต้สำนึกเรามีแต่ความต้องการที่จะสร้างสุขดับทุกข์เท่านั้น แต่ทำไมวิถีชีวิตเราถึงดำเนินไปตามรูปแบบของการสร้างทุกข์ อันนี้คือ ปัญหาที่เราต้องการถามตัวเราว่าทำไมเป็นอย่างนั้น พอเรามาศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า ว่าธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงนั้น เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันให้เกิดก็เกิด ให้ตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ ให้แตกสลายก็แตกสลาย ฉะนั้นวัฏจักรการดำเนินชีวิตเราก็เป็นธรรมชาติ และก็มีเหตุปัจจัยมาประชุมกันทุกครั้ง การสร้างทุกข์ก็มีเหตุปัจจัยมาประชุมกันให้เราสร้างทุกข์ ทำไมเราไม่รู้อย่างนี้ ก็เพราะว่าเราไม่มีข้อมูลให้เรารู้ มันจำกัดตรงที่เราไม่มีข้อมูล เราจึงมีปัญญาไม่พอที่จะแทงตลอดในปัญหาเหล่านี้ได้ เหตุที่เรามีปัญญาไม่พอ เพราะเราไม่ศึกษา เหตุที่เราไม่ศึกษาเพราะเราขี้เกียจ เหตุที่เราขี้เกียจก็เพราะเราโง่ถูกอวิชชาครอบงำไว้ ทางเดียวที่เราจะประสบความสำเร็จนี้ได้ ต้องมีความเพียรพยายาม ดังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร