กฎธรรมชาติ ๒ กฎ ที่พระพุทธตรัสรู้ยิ่งใหญ่มาก 

       คือ  ตรัสรู้ว่าโลกและจักรวาลเป็นธรรมชาติ  และชีวิตเป็นธรรมชาติทั้งหมด  แล้วธรรมชาติทั้งหมดลงอยู่ในกฎธรรมชาติ ๒ กฎ เพราะฉะนั้นถ้าเราจับประเด็นได้อย่างนี้แล้ว  พระพุทธเจ้าก็สอนให้เรา วิปัสสนาภาวนา  กำหนดรู้สติปัฏฐาน ๔  
       วิปัสสนาภาวนาหลายคนก็ไม่เข้าใจ  
           วิปัสสนา ตัวมันแปลว่า กฎธรรมชาติ ๒ กฎ คือ ปัญญาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
           ภาวนาแปลว่า เจริญ  
           เจริญปัญญาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้  เจริญกฎธรรมชาติ ๒ กฎ สรุปว่า ไม่เที่ยงเกิดดับ  เอาไม่เที่ยงเกิดดับไปท่อง ท่องจำเก็บไว้ในใจ เป็นข้อมูลสัญญาความจำ
       ก็คือว่า เราสั่งตัวเราไม่ได้  ข้อมูลสัญญาความจำเป็นตัวสั่งการทั้งหมด  งั้นเราจะสั่งให้ตัวเรา เปลี่ยนจากความเห็นผิด เป็นความเห็นถูกทันทีไม่ได้  จะสั่งอะไรไม่ได้  เพราะชีวิตเราเป็นระบบเหตุปัจจัย  ไม่มีใครสั่งอะไรได้  นอกจากความเคยชิน
       เพราะฉะนั้นความเคยชิน  ที่เป็นสัญญาความจำ  ถ้าเป็นความเคยชินที่ผิดความเห็นผิดก็สั่งเรา   ความเคยชินที่ถูก ความเห็นถูกก็สั่งเรา 
       เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่า  ตัวเราถูกความคิดเห็น คือ สัญญาความจำ เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต  พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้เราเห็นว่า  สัญญาความจำ  มันเกิดจากอะไร  เกิดจากการกระทบสัมผัสที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 
       เกิดจากเวทนา  เวทนาผลออกมาก็เป็นสัญญาความจำ  สัญญาความจำแล้วก็สังขารความคิด  และวิญญาณความรู้ 
       พระพุทธเจ้าให้กำหนดรู้ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  พระพุทธเจ้าก็ให้เอาไม่เที่ยงเกิดดับ  ที่เราท่อง ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้  ท่องจำเก็บไว้  ไว้ในใจ
       อย่างที่ให้เราท่อง  ตาเห็นรูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ ไปถึงใจคิดนึกไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ
       ท่องแล้วก็ เอาความรู้ที่ท่อง ไปตามทันเห็นตามจริง สิ่งที่กระทบสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
       เมื่อเห็นตามจริงแล้ว  เอาความจริง ที่เห็นความจริง  ไปกำหนดรู้ สิ่งที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และกำหนดรู้ มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม 
       ตรงไหนที่มันสร้างทุกข์ให้เรา  เราต้องเอาความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้  ไปกำหนดรู้มันให้หมด  เพื่อเปลี่ยนความไม่รู้... เป็นความรู้  ให้ชีวิตเราดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
       เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่มาก  ถ้าโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้  โลกนี้จะมืดมิด  เราจะมืดมิดอย่างทุกวันนี้  เรามืดมิดจนหาแสงสว่างในใจเราไม่ได้  คือ มืดบอดทางสติปัญญา  มืดบอดทั้งตาใน ตานอก ที่ว่ามืดบอดทั้งตาในตานอก  เราไม่เห็นความจริงที่พระเจ้าตรัสรู้เลย 
       สิ่งที่พระเจ้าตรัสรู้ คือ ธรรมดาของโลกและชีวิต  ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป  ชีวิตเราก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป  เป็นธรรมดาของชีวิตนะ 
       แต่เราเอาความไม่รู้มาซ้อนทับกัน  มันเลยทับความธรรมดา ของโลกและชีวิต จนมองไม่เห็น  เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ก็ปิดบังอำพราง  ให้เรามืดบอดทางสติปัญญา มานับภพนับชาติไม่ถ้วน 
       ในเมื่อพระพุทธเจ้าเกิดมาในโลกนี้  ได้ตรัสรู้ความจริงของโลกและชีวิต  เราก็ต้องมาศึกษาหาความรู้ หาความจริง  เอาความจริงของโลกและชีวิต  ที่พระเจ้าตรัสรู้  มาฝึกฝนตัวเอง 
       พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนั้น  ท่านตรวจสอบผลการตรัสรู้  ๗ ๗  ๔๙ วัน  ท่านเห็นว่า ไม่มีมารเทวดา อินทร์พรหม นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ไหน  จะขัดแย้งได้  ท่านเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน  ท่านก็เอามาสอนพวกเรา....

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้