เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรืออินทรีย์ ๖ แล้ว ให้ฝึกใช้สติดึง ลากหรือระลึกเอาความจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ซึ่งสรุปเหลือคำเดียวว่า “ไม่เที่ยงเกิดดับ” มากั้นขณะกระทบสัมผัสไว้ก่อนทุกครั้งเมื่อถูกกระทบสัมผัส (ตรงผัสสะ) ความจริงเหมือนหน้าปัญญาเหมือนหลัง ลากเอาหน้ามาแล้วหลังก็ตามมา เมื่อความจริงมาแล้วปัญญาจะตามมาทันทีพิจารณาสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเรา ปัญญาก็จะพิจารณาว่า ตัวของเราไม่เที่ยงเกิดดับ สิ่งที่มากระทบก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เช่น ตา เห็นรูป ปัญญาก็จะพิจารณาว่า รูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ หู กระทบเสียง พิจารณาเสียงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ จมูก กระทบกลิ่น กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ลิ้นกระทบรส รสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ กายกระทบเย็นร้อนฯ สิ่งที่มากระทบไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ไปจนถึงใจคิดนึก ความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ
ให้พิจารณาอย่างนี้ตลอดเวลา เมื่อถูกกระทบสัมผัสจนเป็นปกตินิสัยในชีวิตประจำวันและปัญญาจะเกิดขึ้นทางอินทรีย์ ๖ นี้ อย่างมหาศาล ปัญญา หรือความจริงนี้ก็จะดับความพอใจไม่พอใจหรือ ความหลง หรือ อวิชชาทันที ต่อไปจิตใจของเราก็จะเก็บเอาความจริง หรือปัญญาไว้ในใจแทนอวิชชา เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสอินทรีย์ ๖ หรือตัวของเรา สติก็จะลากเอาหรืออระลึกเอาดึงเอาปัญญาหรือความจริงที่เก็บไว้เป็นสัญญา (ความจำ) ที่อยู่ในใจออกมารับการกระทบสัมผัสทุกครั้ง ทุกข์หรือปัญหาก็จะถูกดับหรือแก้ตรงที่มันเกิดทันที ทุกข์ที่เกิดขึ้นต่อไปอีกก็ไม่มี ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า “ทุกข์เกิดที่ไหนดับที่นั่น” นี่คือเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นเหตุของการตรัสรู้ของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วสัมมาทิฐิเกิดขึ้นทันที หลังจากสติดึงความจริงมาตั้งกั้นความเชื่อตรงผัสสะหรือตรงที่กระทบ หลังจากนั้นมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้น สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ เกิดขึ้นตามมาเรียกว่าโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ซึ่งเป็นองค์ธรรมที่ดับทุกข์หรือแก้ปัญหาได้ถาวร
หลังจากนั้นพระองค์ได้นำพระธรรมคำสอนนี้ไปสอนชาวโลกให้ปฏิบัติตามชาวโลกมีทั้งเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ นักปราชญ์ ราชบัณฑิต คนธรรมดาทั่วไป ได้นำคำสอนของพระพุทธองค์อันนี้ไปปฏิบัติ จึงได้ตรัสรู้เหมือนกับพระองค์ท่านมากมาย เรียกว่าพระอรหันต์สาวก ปฏิบัติธรรมถูกธรรมอย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมโดยความไม่ประมาท ประสบความสำเร็จได้ภายใน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างช้า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้
เพื่อป้องกันความผิดพลาด จึงขอเตือนสติของท่านผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลายด้วยว่า ถ้าหากท่านจะทำอะไรในชีวิตของท่าน ท่านต้องศึกษาเรียนรู้สิ่งที่ตัวของท่านจะไปทำก่อนจนเข้าใจดีแล้วค่อยทำ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ถ้าหากท่านปฏิบัติผิดพลาด โดยเฉพาะทางธรรม นั่นหมายถึงท่านเสียเวลาชีวิตของท่านไปชาติหนึ่ง ซึ่งคนเราจะได้เกิดมาเป็นคนพบพระพุทธศาสนานั้นไม่ง่ายเลย ถ้าหากท่านขี้เกียจเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว โอกาสที่ท่านจะปฏิบัติถูกนั้นไม่มีเลย บางท่านก็ใจร้อนอยากประสบความสำเร็จในชีวิตเร็ว ๆ ขึ้น จึงได้ไปปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ทันที โดยไม่ได้พิจารณาว่าครูบาอาจารย์ของท่านนั้น ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจนจบพระไตรปิฎกหรือไม่ ถ้าท่านเรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่จบ ท่านก็จะสอนเราผิดการปฏิบัติของเราก็ผิดไปตามครูบาอาจารย์ด้วย
ฉะนั้น ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายควรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้จบพระไตรปิฎกอย่างน้อย ๒-๓ จบ ไว้เป็นพื้นฐานก่อน จะได้มีข้อมูลทราบว่าครูบาอาจารย์ท่านสอนเราถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะนำตัวของท่านไปถึงแค่ครูบาอาจารย์ของท่านเท่านั้น อย่างนี้เรียกว่าท่านประมาทมาก ท่านต้องพาตัวของท่านขึ้นเลยไปถึงพระพุทธเจ้าด้วยจึงจะถูกต้อง แล้วเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ของเรามาเทียบเคียงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเข้ากันได้หรือไม่ ถูกเหตุถูกผลหรือไม่ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมถูกธรรม เป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผลดีต่อท่านผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะปฏิบัติถูกต้องแล้ว จะมีปัญญาแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ได้พบสุขถาวรได้ในชาตินี้