คนเราทุกคนเกิดมาต้องดิ้นรนเสาะแสวงหาความพอดีให้กับตัวเองตลอดเวลา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในแต่ละชีวิต ขาดไปบ้าง เกินไปบ้าง พยายามเสาะแสวงหาไปตลอดชีวิต และก็ไม่มีใครพบความพอดีให้กับตนเองได้ง่าย ๆ หรือไม่เคยพบเคยเห็นเคยรู้มาก่อนตลอดชีวิตของตนเองว่าความพอดีของตนเองที่ตนเองต้องการนั้นมันอยู่ที่ไหน บางครั้งก็พบอยู่บ้างแต่ก็เป็นความพอดีชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่จีรังยั่งยืนตามที่คนเราต้องการและก็ไม่เข้าใจว่าความพอดีที่เราได้มาชั่วคราวนั้น จริง ๆ แล้วมันใช่ความพอดีที่ชีวิตต้องการหรือไม่ แต่ละคนที่เกิดมาก็พยายามเสาะแสวงหามันต่อไป บางครั้งชีวิตในชาตินี้ไม่พอที่จะแสวงหาความพอดีให้พบได้ เพราะแต่ละคนก็ใช้วิธีการของแต่ละคนเสาะแสวงหาความพอดีให้กับตนเองแตกต่างกันไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนเราเกิดมาไม่มีความรู้เพียงพอที่จะไปแสวงหาความพอดีให้กับตนเอง แม้กระทั่งความรู้เกี่ยวกับตัวของตัวเอง คนเรายังไม่รู้จัก ซึ่งอยู่กับตัวเรานี่แหล่ะ ใกล้ชิดติดกันอย่างนี้ยังไม่รู้จักแล้วจะไปรู้จักสิ่งอื่น ๆ นั้นไกลเกินไป สิ่งที่ใกล้ ๆ นี้ยังไม่เข้าใจ แล้วสิ่งที่อยู่ไกลจะรู้จักให้ดีได้อย่างไร เพื่อจะได้มีความเข้าใจถูกต้องในเบื้องต้น จึงต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองก่อนว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร คนเราเกิดเพื่อจะหนีทุกข์ไปหาสุขกันทุกคน สุขนั้นก็ต้องการสุขที่ถาวรตลอดไป สุขชั่วคราวไม่มีผู้ใดต้องการ สุขถาวรที่ทุกคนต้องการแปลเป็นภาษาธรรมเรียกว่า “นิพพาน” คนทุกคนที่เกิดมามีความ ต้องการสุขถาวร หรือนิพพานกันทุกคน ฉะนั้นเป้าหมายของชีวิตคนเราทุกคนคือ “นิพพาน” แล้วก็ชีวิตคืออะไร ชีวิตของคนเราคือการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตนเอง คนเราทุกคนเกิดมาไม่ได้อะไรมาฟรี ๆ ต้องศึกษาเรียนรู้เอาทั้งหมด ถ้าไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ก็ไม่ได้อะไรเลย และชีวิตของคนเราต้องมาฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วคนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ไหน มีเครื่องมืออะไรที่ธรรมชาติให้มาฝึกฝนตนเองบ้าง คนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียก “อินทรีย์ ๖” อินทรีย์ นี้แหละ ที่ธรรมชาติให้มาเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนตนเอง คนเราจะดีหรือเลวอยู่ที่การใช้อินทรีย์ ๖ นี้แหละ ถ้าใช้อินทรีย์ ๖ ไปในทางรับความรู้สึกอย่างเดียวชีวิตก็จะมีแต่ปัญหา แต่ถ้าใช้อินทรีย์ ๖ ในทางการศึกษาเรียนรู้ ชีวิตของคน ๆ นั้นก็จะมีปัญหาน้อย พบแต่ความสุข เมื่อเรารู้จักตัวเองดีแล้ว เราก็จะรู้จักใช้เครื่องมือฝึกฝนตนเองที่ธรรมชาติให้มา ต่อไปเราจะพบความพอดีของชีวิตของเราได้อย่างไร และมีผู้ใดที่รู้เรื่องราวของโลกและชีวิตดีที่สุด บุคคลที่รู้เรื่องราวของชีวิตดีที่สุดในโลกก็คือ พระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก เป็นผู้รู้แจ้งโลกและชีวิต หาผู้ใดเสมอเหมือนไม่ได้ ในโลกนี้หรือโลกไหน ๆ พระองค์ได้ตรัสสั่งสอนมนุษย์และเทวดาอยู่ถึง ๔๕ พรรษา คำสอนของพระองค์มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คำสอนของพระองค์ท่านทั้งหมด พระองค์ท่านสรุปไว้ว่า พระองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์เท่านั้น คำสอนของพระองค์ท่านขณะนี้ได้จารึกไว้ในพระไตรปิฎกจำนวน ๔๕ เล่ม ถ้ามนุษย์ทุกคนต้องการความพอดีของชีวิตตนเองว่าอยู่ตรงไหน ต้องศึกษาเรียนรู้จากพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน ที่สอนให้ไว้ในพระไตรปิฎกให้จบหลาย ๆ รอบแล้วท่านจะรู้เห็นความจริงของโลกและชีวิตของท่าน แล้วก็จะหาพบความพอดีของชีวิตท่านได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าที่สุดโต่งของมนุษย์มี ๒ ด้าน สุดโต่งด้วนที่ ๑ คือ ความพอใจ (กามสุขัลลิกานุโยค
และที่สุดโต่งอีกด้านหนึ่ง ก็คือ ความไม่พอใจ (อัตตกิลมถานุโยค) มนุษย์ส่วนมากจะไปตกอยู่ในที่สุด ๒ ด้านนี้ตลอดเวลา ความพอใจ ก็คือความโลภ ความไม่พอใจ ก็คือความโกรธ ตามความพอใจ ไม่พอใจไม่ทัน เรียกว่าความหลง ชีวิตของคนเราจึงไปหลงพอใจไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีโอกาสพบความดีของชีวิต
พระพุทธเจ้าสอนอะไร
ธรรมะสำหรับผู้ยังไม่ได้บวช
ปัญญา ศีล สมาธิ
เส้นทางสายใหม่ของชีวิต