ตลอดเวลาทีผ่านมาหลายร้อยปี พวกเราชาวพุทธเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าคลาดเคลื่อนมาตลอด คำว่า “สติปัญญา” ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกก็เช่นกัน จะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธในประเทศไทย ได้มีการอบรมสั่งสอนกันมานานให้ชาวพุทธเจริญสติ และปัญญาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้ คือ เอาคำว่าสติไปเจริญ คือ เราไปฝึกให้เกิดสติรู้เท่าทันอิริยาบถตลอดเวลาที่มีการเคลื่อนไหวหรืออื่น ๆ เช่น เดินหนอ ยกหนอ นั่งหนอ ฯลฯ เป็นต้น การเอาสติไปฝึกอย่างนี้เป็นการปฏิบัติธรรมผิดธรรม มีผลออกมาเป็นสมาธิเท่านั้น ไม่มีปัญญาเกิดขึ้น เพราะไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และไม่รู้ความหมายของคำว่าสติ หรือไม่รู้ธรรมชาติของคำว่า สติ
สติ หมายถึง การระลึกได้ แปลเป็นภาษาคนต่อได้ความว่า ลากมาหรือดึงมา สติเป็นธรรมชาติอันหนึ่งมีเฉพาะในตัวคนเท่านั้นที่มีมากไม่ต้องเจริญ หรือไม่ต้องสร้างมันขึ้นมาอีกใด ๆ ทั้งสิ้น คนทุกคนมีสติอยู่แล้วมันทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา ตั้งแต่เราตื่นขึ้นมาไปจนถึงหลับไป คือทำหน้าที่ระลึก ลาก หรือดึงความจำที่เป็นสัญญาที่เก็บอยู่ในใจ แล้วแต่ว่าในใจของผู้ใดจะเก็บบวก หรือลบ หรือเก็บกุศลหรืออกุศลไว้ในใจมากกว่ากันอันไหนมีมากกว่า สติจะดึง ระลึก หรือลากเอาอันนั้นออกมารับการกระทบสัมผัสจากภายนอก ถ้ามีลบมากก็ดึงเอาลบออกมารับ ถ้ามีบวกมากมันก็จะดึงเอาบวกออกมารับแล้วก็จะมีการคิดปรุงแต่งต่อไป จากนั้นก็จะไปสู่การกระทำ ผลจะออกมาตามเหตุที่ทำไว้ เช่น มีเสียงด่ากระทบหู ถ้าใจเราเก็บเอาอกุศลไว้มากสติก็จะระลึกหรือลากอกุศลออกมารับเสียงด่า ทำให้เกิดความไม่พอใจแสดงออกมาอาจจะไปทำร้ายคนด่าได้ แต่ถ้าในใจเก็บข้อมูลที่เป็นกุศล (บวก) ไว้มาก สติก็จะระลึกหรือลากเอากุศลนั้นออกมารับกระทบเสียงด่า แล้วมองเห็นเสียงด่านั้นเป็นคำตักเตือนทันที มองเห็นคุณค่าของเสียงด่านั้นได้นี่คือ หน้าที่ของสติ มันทำหน้าที่อย่างนี้ การเจริญสติที่ปฏิบัติกันมานั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจะต้องเจริญความรู้ที่ดับทุกข์ได้ (หรือปัญญา) ให้สติระลึกได้หรือลากมาต้อนรับ การกระทบสัมผัส เพื่อแก้ไขปัญหาหรือทุกข์ตั้งแต่ที่ถูกกระทบสัมผัสหรือที่มันเกิด ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่าทุกข์เกิดที่ไหนดับที่นั่น
ปัญญา หมายถึง ความรู้ที่ดับทุกข์ได้
ความรู้ที่ดับทุกข์ไม่ได้ ไม่ใช่ปัญญาทางธรรมเพียงความรู้หรือรอบรู้เท่านั้น
ปัญญา ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หมายถึง พระธรรมในส่วนที่เป็นผล ไม่ใช่ส่วนที่เป็นเหตุ เอาคำว่าปัญญาไปใช้ดับทุกข์ไม่ได้ จะต้องรู้และเข้าใจต่อไป อีกว่าปัญญาที่เป็นความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้น มีต้นตอแหล่งกำเนิดหรือเหตุปัจจัยของการเกิดของปัญญาอยู่ที่ไหน
ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร? ปัญญาที่เป็นความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้นเกิดจากความจริงที่เป็นความจริงของโลกและชีวิตเท่านั้น ความจริงเป็นแม่เป็นต้นตอของปัญญา
ความจริงของโลกและชีวิตก็คือ กฎธรรมชาติ ๒ กฎ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ กฎไตรลักษณ์หรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และกฎของเหตุและปัจจัยหรือ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท กฎนี้แหละคือต้นตอหรือแม่หรือเป็นเหตุปัจจัยของปัญญา ปัญญาจะเกิดกับความจริงเท่านั้น อวิชชาเกิดจากความพอใจ หรือไม่พอใจ หรือความเชื่อ ความเชื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัย หรือต้นตอของอวิชชา
เมื่อเรารู้จักที่มาที่ไปของสติปัญญาแล้วจะเห็น การปฏิบัติธรรมโดยการเจริญสติปัญญาโดยตรง อย่างที่มีการสอนการปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้ไม่ถูกต้องตามธรรม ไม่ถูกเหตุถูกปัจจัย เมื่อรู้เหตุปัจจัยของสติปัญญาแล้ว การปฏิบัติก็เริ่มเจริญปัญญา ไม่ต้องเจริญสติเพราะมีอยู่แล้วแต่คนเราขาดปัญญา จึงจำเป็นต้องเจริญปัญญาดับทุกข์หรือแก้ปัญหา
การเจริญปัญญาที่ถูกต้อง ต้องเจริญที่เหตุของการเกิดปัญญา เหตุปัจจัยของการเกิดปัญญาหรือสัมมาทิฐินั้น คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้เป็นทางสายเอก คือ การวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖ ให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตัวเราตามความเป็นจริงของโลก และชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนเป็นของตนเองเกิดจากเหตุปัจจัยว่างจากตนหรือของตน
พิจารณาให้รู้ให้เห็นความจริงอย่างนี้จนเป็นปกตินิสัยในชีวิตประจำวัน และจะมีปัญญาหรือสัมมาทิฐิเกิดขึ้นรู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิตดับความพอใจ (โลภ) ไม่พอใจ (โกรธ) ทันที อย่างนี้เรียกว่า สัมมาทิฐิ ปัญญาเกิดขึ้นมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นองค์ธรรมอื่น ๆ จะเกิดตามมาจนครบโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ แล้วมีปัญญาดับทุกข์ หรือแก้ไขปัญหาให้กับตัวเองได้ถาวร
เมื่อมีปัญญา (รู้จริง รู้แจ้ง) เกิดขึ้นในใจตลอดเวลาแล้ว ปัญญาก็จะเข้ามาแทนที่อวิชชา เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสตัวเรา สติก็จะระลึกหรือดึกหรือลากเอาความจริงที่เป็นปัญญาที่เก็บอยู่ในใจเป็นสัญญา (ความจำ) ออกมารับการกระทบสัมผัส ปัญหาหรือทุกข์ก็จะถูกแก้ไขหรือดับที่มันเกิดทันที ยกตัวอย่าง เช่น มีเสียงด่ามากระทบหู สติก็จะลากเอาหรือระลึกเอาปัญญาหรือความจริงออกมารับว่า เสียงด่าไม่เที่ยง ปัญญาจะทำหน้าที่พิจารณาว่าเสียงด่าเกิดดับ คนด่าก็เกิดดับ คนถูกด่าก็เกิดดับ พูดง่าย ๆ ว่าคนด่าก็ตาย คนถูกด่าก็ตายเช่นกัน แล้วปัญญาจะสั่งให้ยิ้มให้กับคนด่าทันที และก็ยิ้มได้ด้วยเพราะหน้ามืดหน้าแดงที่เกิดจากความพอใจ ไม่พอใจ ถูกดับไปก่อนแล้ว ปัญหาก็ถูกแก้ไขในทางถูกต้อง คือ ดับปัญหา ณ ที่เกิดนั้นทันที่ ปัญหาที่เกิดต่อเนื่องต่อไปอีกไม่มี ถ้าเราไม่ฝึกเจริญความจริงไว้ในใจแล้วก็จะไม่มีปัญญาออกมารับเสียงด่า สติก็จะลากเอาความเชื่อที่เป็นความพอใจ ไม่พอใจที่เก็บเป็นอวิชชาอยู่ในใจ ออกมารับการกระทบเสียงด่า ความพอใจ ไม่พอใจก็เกิดขึ้นทำให้เราควบคุมตนเองไม่ได้ อาจจะไปทำร้ายร่างกายคนด่าเข้าให้ ในที่สุดก็ต้องแก้ปัญหาที่สถานีตำรวจหรือที่ศาลหรือที่คุก ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายหรือสิ่งที่คนเราต้องการ
ความจริงแล้ว คำว่าสติปัญญาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำตรัสย่อ ๆ ของพระพุทธเจ้าใช้ตรัสกับพระอริยบุคคล ตรัสอย่างนี้อริยบุคคลเข้าใจได้ จะเอาค่าสติปัญญาไปปฏิบัติ หรือไปเจริญโดยตรงไม่ได้ ไม่ถูกธรรม วิธีปฏิบัติหรือเจริญสติปัญญาที่ถูกต้องนั้น ต้องเอาพระธรรมที่เป็นเหตุของการได้ปัญญามาปฏิบัติก่อน จึงจะมีปัญญาเกิดขึ้นเก็บไว้ในใจตนเป็นปกตินิสัยประจำวันแล้วปัญญาก็จะเข้าไปแทนอวิชชา (ความหลง) อยู่ในใจของเรา ใจของเราก็เต็มไปด้วยปัญญา รู้จริง รู้แจ้ง เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัส สติก็จะลาก หรือระลึกเอาปัญญาออกมารับการกระทบแล้วแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ได้ ขบวนการเจริญสติปัญญาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเต็มรูปแบบทำอย่างนี้
สรุป การเจริญสติปัญญาที่ถูกต้องตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น จะต้องปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖ ดังกล่าวมาข้างต้น อย่างนี้เรียกว่าการเจริญสติปัญญาที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาสติปัญญาไปเจริญโดยตรงอย่างที่ปฏิบัติกันมา ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมผิดธรรม ไม่มีปัญญาที่จะดับทุกข์ได้ การเจริญสติปัญญา ก็คือ การวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖ ตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั่นเอง