ความจริง คือสุข ความเชื่อ คือทุกข์
*พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ ความจริง ดับความเชื่อ
ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นความจริงที่เราต้องศึกษา
ต้องวิปัสสนาภาวนา แล้วนำมาไว้ในตัวเรา ด้วยการท่อง
*ทำไมจึงท่อง เก็บไว้ในตัวเรา
เพราะตัวเรา มันมีความคิด การคิดของเราทุกครั้งนั้น มันมี ข้อมูลสัญญาความจำ เป็นฐานข้อมูลให้คิด
แต่ที่ผ่านมา
เราไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้า เป็นฐานข้อมูลในการคิด
ความคิดของเราแต่ละครั้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนท่านอายุขนาดนี้
มันเป็นฐานข้อมูลผิด คือ ความพอใจ ไม่พอใจ
หรือฐาน ความโลภ โกรธ หลง ทั้งหมด
ไม่มีฐานความจริง หรือฐานสร้างสุขดับทุกข์
ในเมื่อในใจเรา มีแต่ฐานสร้างทุกข์ ฐานสร้างสุขในใจไม่มีเลย
เพราะเราสั่งตัวเองไม่ได้ ว่าฉันจะสุข ฉันจะไม่ทุกข์นะ อย่างนี้เราสั่งตัวเองไม่ได้
เพราะข้อมูลความคิดของเราต่างหาก *เป็นผู้สั่ง
พระพุทธเจ้าเห็นอย่างนี้แล้ว
ท่านก็ให้วิปัสสนาภาวนา ให้ท่องจำ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ไว้แล้ว
ด้วยกฎธรรมชาติ ๒ กฎ คือ
*กฎไตรลักษณ์ และ
*กฎอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท
สรุปว่า *ไม่เที่ยงเกิดดับ
พระพุทธเจ้าให้ท่องไว้ในใจ
แต่ไม่มีใครแปลออก ถอดรหัสความจริงอันนี้ไม่ได้...
เมื่อท่านได้รู้ความจริง
ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วย "ไม่เที่ยงเกิดดับ"
และพระพุทธเจ้า ก็ให้เราเอาไม่เที่ยงเกิดดับ ไปไว้ในใจของเรา ให้ถาวรให้มั่นคง
การเก็บความจริงไว้ในใจนี้
ยิ่งเก็บมากเท่าไร ยิ่งสุขมากเท่านั้น
จึงต้องเพียร เก็บให้มาก ๆ เพื่อสุขมาก ๆ ความสุขจริง ๆ ท่านไม่เคยรู้ มันเป็นความสุขจริง ที่ไม่มีทุกข์เจือปน
เราเก็บสุขจริง ๆ ใส่ไว้ในใจแล้ว
มันก็มี *ฐานความสุข *ฐานความคิด ที่เป็นสุขแท้จริง ชีวิตเราก็สุขทันที
ชีวิตที่ผ่านมา เรามีแต่เก็บเอา *ฐานความทุกข์ และก็ *ฐานของความเชื่อ
แล้วก็ *เอาความทุกข์มาแก้ปัญหา
เราจึงมีแต่ปัญหาเพิ่มมาใหม่ และทุกข์อยู่อย่างทุกวันนี้
พระพุทธเจ้าจึงชี้ให้เราเห็นอย่างนี้ว่า
ตัวเรา ดับทุกข์ได้ โดยเอาความจริงไปดับความเชื่อ
ความจริง คือ สุข เราก็เอาความสุขให้ชีวิตเรา โดยการวิปัสสนาภาวนา ท่องไม่เที่ยงเกิดดับนั้นเอง