ปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท ปฏิบัติอย่างไร
        คนเราส่วนมากเกิดมาต้องการหนีทุกข์ไปหาสุขกันทุกคน แต่ละคนก็พาตัวเองไปหาสุขตามความคิดความเข้าใจของตนเอง ที่คิดว่าทางนี้ทำอย่างนี้คิดอย่างนี้จะนำความสุขสำเร็จมาให้แก่ชีวิตของตนเอง ฉะนั้นจะเห็นว่าแต่ละคนจะมีวิธีการหนีทุกข์ไปหาสุขกันมากมายหลายรูปแบบแตกต่างกัน ลองผิดลองถูกกันเกือบค่อนชีวิตหรือตลอดชีวิตก็ยังหาความสุขจริง ๆ ที่ตนเองต้องการไม่พบ บางครั้งได้สุขมาคิดว่าจะเป็นความสุขที่ตนเองต้องการ ไปหลงประคบประหงมความสุขอันนั้นไว้ แต่พอเวลาเปลี่ยนไปหน่อยความสุขที่ตนเองคิดว่าน่าจะใช่ความสุขจริง ๆ ที่ตัวเองต้องการกลับกลายเป็นทุกข์มหาศาลเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็มี สุขที่ทุกคนที่เป็นปุถุชนไปเสาะแสวงหานั้นคือความสุขที่ได้อะไรมาสนองความอยากของตนเองทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อได้มาแล้ว สุขนั้นก็หายไป ก็ไปแสวงหามาอีก ไม่ได้ก็ทุกข์ ต้องดิ้นรนไปเสาะหามาปรนเปรอไปตลอดชีวิตไม่มีที่สิ้นสุด
       ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้สดับฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  จึงไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลยว่าสุขจริง ๆ ที่คนเราต้องการนั้นอยู่ที่ใด ทำอย่างไรจึงจะพบและหามาใส่ตัวเองได้ สุขที่มนุษย์ทุกคนต้องการในขณะนี้นั้นก็คือสุขถาวรไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สุขอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ สุขถาวรนี้ถ้าแปลเป็นภาษาธรรมก็คือ “นิพพาน” นั้นเอง  พวกเราไม่รู้เลยว่าสุขถาวรนี้มีศาสดาเอกของโลกตรัสสอนไว้ให้แล้ว พร้อมบอกทางเดินไปหาสุขนั้นได้ในชีวิตนี้ อย่างเร็ว ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างช้า  ถ้าปฏิบัติตามทางที่ถูกนี้มนุษย์ทุกคนไปถึงเป้าหมายนี้ได้
       คนเราทุกวันนี้ต้องการให้ตัวเองพบสุขถาวรกันทุกคน  แต่ขี้เกียจศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนที่ศาสดาเอกของโลกสอน ไว้ให้ศึกษาเรียนรู้วิธีปฏิบัติให้เข้าถึงสุขถาวรที่ตนเองต้องการ  จะเห็นว่าบางคนตั้งใจจะปฏิบัติธรรมเพื่อหาหนทางหนีทุกข์ไปหาสุขถาวร แต่ไม่ได้ศึกษาแนวทางที่พระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลกบอกทางดับทุกข์ไว้ให้เป็นพื้นฐานก่อน  แล้วมุ่งหน้าไปสำนักปฏิบัติไปปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์ที่สอนการปฏิบัติธรรมเอาทันที  เพื่อเดินทางลัดต้องการให้ตนเองพบความสำเร็จหนีทุกข์ได้เร็ว ๆ โดยไม่ได้หยุดคิดสักนิดว่า ถ้าครูบาอาจารย์ของเราไม่เรียนคำสอน หรือเรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่จบตามพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกแล้วจะทำอย่างไรดี  ครูบาอาจารย์ก็ต้องสอนเราผิดแน่นอน ตัวของเราก็จะนำเอาพระธรรมคำสอนที่ผิดไปปฏิบัติ ผลก็จะออกมาตามเหตุ  คือได้ผลที่ผิดออกมา เราจะต้องเสียเวลาชีวิตไปชาติหนึ่ง  ชาตินี้เกิดมาจึงเสียชาติเกิด ชาติต่อไปจะเกิดมาพบพระพุทธศาสนาพบพระธรรมคำสอนอีกหรือไม่ก็ไม่รู้ได้  ความคิดในลักษณะอย่างนี้ไม่ค่อยมี ไปมั่นใจว่าหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นครูบาอาจารย์ของเราทั้งหลายท่านคงจะเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาจบแน่ หรือเห็นว่าท่านเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสผู้มีความรู้  ก็ไปเป็นลูกศิษย์ของท่านเลย ดังนี้เป็นต้น ผลปรากฏว่าท่านเหล่านั้นส่วนมากไม่เคยเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกกันจบแต่อย่างใด  อาศัยเอาวิธีปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์รุ่นก่อน ๆ สอนปฏิบัติสืบต่อกันมา แล้วท่านเหล่านั้นก็อ้างว่าหลวงพ่อ หลวงปู่ นั้นสอนไว้อย่างนี้  แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยไม่รู้ไม่เข้าใจที่ท่านสอนไว้ว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
      จะเห็นว่าท่านผู้นำการปฏิบัติธรรมทั้งหลายทั้งรุ่นก่อน ๆ และรุ่นปัจจุบันมีลักษณะเหมือนกันคือ  ปฏิบัติธรรมตามครูบาอาจารย์ที่สอนสืบต่อกันมาเท่านั้น  ไม่มีผู้ใดหาตนเองข้ามเข้าไปถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ๆ ในพระไตรปิฎกได้ไปถึงได้แค่ของครูบาอาจารย์หลวงปู่ หลวงพ่อเท่านั้น  ไปติดอยู่ตรงนี้จึงไม่มีความรู้เพียงพอที่นำพาตัวเองเข้าไปหาทางที่ถูกต้องได้  เพราะไม่มีความรู้ที่เป็นพระธรรมคำสอนของพุทธเจ้าเป็นหลักไว้ในตัวเอง  ทำให้การปฏิบัติธรรมของผู้สนใจทั้งหลายไปไม่ถึงเป้าหมายของชีวิต เพราะไม่รู้ทางเดินที่ถูกต้องที่แท้จริง  ปฏิบัติธรรมผิดธรรมกันมาตลอด  จึงไม่มีปัญญาแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ให้กับตัวเองได้ ได้แค่หลบทุกข์ชั่วคราวอยู่ที่ความสงบเท่านั้น
       การปฏิบัติธรรมผิดนั้นปฏิบัติอย่างไร?  การปฏิบัติโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระธรรมส่วนใดเป็นพระธรรมส่วนที่เป็นผลของการตรัสรู้  และไม่เข้าใจว่าพระธรรมคำสอนในสูตรนั้น ๆ ที่ตนนำมาปฏิบัติพระพุทธเจ้าตรัสสอนกับผู้ใด  สอนอริยบุคคลหรือสอนบุคคลธรรมดาทั่วไป สอนสรุปคำย่อ หรือสอนคำเต็ม  ถ้าเป็นคำย่อแล้วคำเต็มท่านสอนว่าอย่างไรดังนี้เป็นต้น ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจถึงขั้นนี้แล้วผู้สอนก็สอนผิด ผู้ปฏิบัติก็ปฏิบัติผิด  เมื่อปฏิบัติผิดธรรมอย่างนี้แล้วโอกาสที่จะมีปัญญาดับทุกข์หรือแก้ปัญหาได้นั้นไม่มี  จะไปหลงติดอยู่ที่ความสงบของจิตหรือสมาธิเท่านั้น
       การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าพาเอาตัวเองไปติดตาข่ายของมาร  หมดโอกาสจะพาตัวเองดับทุกข์ได้ในชาตินี้  ดังเช่น บางคนบางท่านเอาโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ คือ มรรคมีองค์ ๘ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ ไปปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ซึ่งไม่ถูกต้อง  เพราะพระธรรมเหล่านี้เป็นผลการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นพระธรรมที่เป็นเหตุของการตรัสรู้ เป็นพระธรรมที่เป็นผลรวมของการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖  ให้รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเราเองตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ  พระธรรมคำสอนในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนี้  เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสสอนอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไปเท่านั้น แต่ถ้าบุคคลธรรมดาทั่วไปนำไปปฏิบัติแล้วจะผิดธรรมทันที  เพราะจะเอาพระธรรมที่เป็นผลไปเป็นเหตุของการปฏิบัติ  คือจะปฏิบัติโดยเอาจิตไปกำหนดสติติดตามความเคลื่อนไหวอิริยาบถของตนเองเช่น เดินหนอ ยกหนอ นั่งหนอ กินหนอ ยุบหนอ พองหนอ ฯลฯ  อย่างนี้เป็นต้น การปฏิบัติอย่างนี้ของบุคคลธรรมดาทั่วไปไม่ใช่วิปัสสนาภาวนาที่ถูกต้อง  เป็นการเจริญความสงบของจิตหรือสมาธิเท่านั้น  ใช้จิตกำหนดรู้ความเคลื่อนไหวอย่างนี้ไม่มีปัญญาเกิดขึ้น  การกระทำอย่างนี้เป็นการเจริญสมาธิให้จิตสงบ ไม่ใช่เจริญปัญญา ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้า  ตรัสกับพระอริยบุคคลอย่างนี้  ให้อริยบุคคลเอาไปปฏิบัตินั้นถูกต้อง  เพราะอริยบุคคลมีปัญญาหรือสัมมาทิฐิแล้ว ปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบประกอบด้วยปัญญา  อย่างนี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ เป็นผลให้บรรลุอรหันต์เร็วขึ้น  แต่ถ้าบุคคลปุถุชนคนธรรมดาเอาไปปฏิบัติจะเกิดมิจฉาสมาธิ  หรือสมาธิที่ไม่มีปัญญาประกอบ  ซึ่งเรียกว่าความหลง ไม่มีปัญญามาดับทุกข์ได้
       ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมโดยความไม่ประมาทนั้น  ต้องเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้  เมื่อเข้าใจแล้วการปฏิบัติธรรมก็ถูกธรรม เช่น ถ้าคนเราต้องการดับทุกข์ต้องรู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไร?  ทุกข์เกิดจากความไม่รู้หรืออวิชชา  จึงทำให้คนเราคิดผิด ทำผิด ผลออกมาผิด  จึงมีปัญหาหรือทุกข์ตามมา  การดับทุกข์ได้ก็ต้องใช้ปัญญาคือความรู้จริงมาดับทุกข์ ความรู้ที่ดับทุกข์ได้หรือปัญญานี้มาจากไหน?  ปัญญามาจากความจริงของโลกและชีวิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ ได้แก่ กฎธรรมชาติ ๒ กฎ กฎแรกคือกฎของไตรลักษณ์ (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) และกฎของเหตุปัจจัย  หรือกฎของอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท  นี่คือที่เกิดของปัญญา แล้วจะสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  พระพุทธเจ้าตรัสบอกวิธีสร้างปัญญาไว้ในทางสายเอกที่ดับทุกข์ได้ นั้นคือการวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖  ให้รู้ให้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตัวเราในขณะปัจจุบันตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า  สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ  เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง  ว่างจากตนและของตน
Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้