ปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงจะถูกทาง
       การจะปฏิบัติธรรมให้ถูกทางได้นั้นก็มีลักษณะเดียวกับการกระทำใด ๆ  ของเราในทางโลกที่จะทำถูกได้นั้นต้องมีการศึกษาเรียนรู้สิ่งที่เราจะไปทำนั้นให้รู้และเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ ให้ดีก่อน   การกระทำของเราในสิ่งนั้นจึงจะถูกต้องครบถ้วน   มีผลสำเร็จเกิดขึ้นตามที่เราได้ตั้งใจไว้  มีเพียงความตั้งใจเฉย ๆ  ไม่มีความรู้ประกอบแล้ว การกระทำของเราไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมก็ไม่ประสบความสำเร็จ  เพราะเป็นการหลับตากระทำ หรือทำโดยความไม่รู้
       การปฏิบัติธรรมนั้น  ทางที่ถูกต้องและมีผลสำเร็จเกิดขึ้นตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ คือดับทุกข์ได้ให้กับตัวเองนั้น  ต้องศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกให้จบหลาย ๆ รอบ  จนเข้าใจในพระธรรมคำสอนนั้นพอสมควร  คือเข้าใจพระธรรมคำสอนว่าพระธรรมส่วนใด เป็นผลของการตรัสรู้  พระธรรมส่วนใดเป็นเหตุของการตรัสรู้   พระธรรมคำสอนแต่ละสูตรนั้น  พระพุทธเจ้าตรัสสอนผู้ใด  สอนพระอริยบุคคล  หรือสอนบุคคลปุถุชนทั่วไป  ตรัสสอนเป็นคำย่อสรุป  หรือเป็นคำเต็ม  ถ้าเป็นคำย่อแล้ว คำเต็มว่าอย่างไร  ต้องรู้และเข้าใจพระธรรมคำสอนในระดับนี้  จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง  มีผลการปฏิบัติที่ถูกต้องเกิดขึ้นกับตัวผู้ปฏิบัติ
       ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนดังที่กล่าวมาแล้ว  การปฏิบัติของเขาก็ไม่ถูกทาง  พาตัวเองหลงเข้าไปในคำสอนของพราหมณ์ ไปหลบทุกข์อยู่ที่ความสงบหรือสมาธิ  ซึ่งเป็นผลร้ายต่อผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง  เพราะไม่สามารถแก้ไขตนเองกลับมาปฏิบัติในทางที่ถูกต้องดับทุกข์ได้  เพราะถ้าหลงทางเข้าไปในสมาธิ โดยที่ตัวเองยังไม่มีปัญญาประกอบในการทำสมาธินั้น  การกระทำอย่างนั้นเรียกว่าไปผิดทางหรือมิจฉาทิฐิ เสียเวลาชีวิตของตนเองอีกชาติหนึ่ง  คนเราเกิดมาแต่ละชาตินั้นตั้งใจมาทำให้ตนเองพบสุขถาวร  หรือนิพพาน แต่พาตนเองไปหลงทางเสียก่อน   จึงไม่มีเวลาพอจะพาตนเองย้อนกลับมาเดินทางที่ถูกต้องได้  ซึ่งเราจะเห็นว่าบางคนไปหลงทำสมาธิจนแก่  เวลาที่เหลือจึงมีไม่พอที่จะพาตัวเองมาตั้งต้นวิปัสสนาดับทุกข์ในชาตินี้ได้  ในที่สุดตัวเองก็จะเข้าไปติดตาข่ายของพญามาร  เวียนว่ายตายเกิดต่อไป อีกนับชาติไม่ถ้วน  มองให้ดี ๆ  จะเห็นว่าถ้าหลงผิดอย่างนี้แล้ว  ทำความเสียหายให้กับชีวิตของเราอย่างมากมายหาที่สุดไม่ได้
       ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว  การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นั้นง่ายมาก   เพราะถ้าจับหลักคำสอนที่เป็นเหตุของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ตรัสบอกชาวโลกว่า  เป็นทางสายเอกสายเดียวที่ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ เพราะพระพุทธเจ้า เป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดหาบุคคลใดเสมอเหมือนไม่ได้ จึงสอนสิ่งที่ยากที่สุดให้ง่ายที่สุดได้  สรุปพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่านทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  ให้นำไปสู่การปฏิบัติเหลือเพียงกำมือเดียวเท่านั้น  ปฏิบัติแล้วได้ผลภายใน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างช้า  พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้  พระธรรมคำสอนนั้นก็คือการวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ ๕  อินทรีย์ ๖  ให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตัวเราในขณะปัจจุบันตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต  ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ มีเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว  ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง   การปฏิบัติต้องรู้และเข้าใจกฎธรรมชาติ ๒ กฎ  กฎที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ คือ  กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และกฎของเหตุปัจจัย อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท  สรุปได้ว่า  สิ่งทั้งปวงรวมทั้งตัวของเราไม่เที่ยงเกิดดับ  แล้วเอาความจริง ๒ กฎธรรมชาติที่สรุปแล้วว่า  ไม่เที่ยง เกิด ดับ  ไปฝึกวิปัสสนาเพื่อเจริญปัญญาแล้วเอาปัญญาที่ได้นี้ไปดับทุกข์ในขณะปัจจุบันที่ถูกกระทบสัมผัสในทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
       วิธีฝึกฝนตนเองในการวิปัสสนาภาวนา เริ่มต้นตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา แล้วให้ฝึกให้รู้เห็นความจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งตัวของเรานี้ ไม่เที่ยง เกิดดับ คือ  ให้เห็นว่าตัวเราไม่เที่ยงเกิดดับ  สิ่งที่มากระทบตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  (ไม่เที่ยงเกิดดับนี้ก็คือความจริงของโลกและชีวิต หรือกฎธรรมชาติ ๒ กฎ ดังกล่าวไว้ข้างต้น นั้นแหล่ะ) จากนั้น ตาไปกระทบรูป หรือเห็นอะไรเมื่อตื่นนอนขึ้นมา  ให้พิจารณาตามความจริงของกฎธรรมชาติ ๒ กฎ นั้นทันทีว่า  รูปที่เห็นนั้นไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  เสียงกระทบหู ก็พิจารณาทันทีว่า  เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  จมูกได้กลิ่น  กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ลิ้นกระทบรส  รสไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  กายกระทบสัมผัส  ก็พิจารณาว่าสิ่งที่มากระทบกาย ไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ไปจนถึง ใจคิดนึกอะไร ก็พิจารณาว่า  ความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ
       พิจารณาอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา  ควบคู่กันไปกับการดำเนินชีวิตไม่ว่าเราจะทำอะไรในชีวิตประจำวันก็ให้พิจารณาอย่างนี้เมื่อถูกกระทบสัมผัส  จนกว่าเราจะหลับไป ห้ามนั่งจดจ้องหรือกำหนดจิตตามดูสิ่งที่มากระทบ ให้ปฏิบัติตามปกติในชีวิตประจำวัน  ถูกกระทบค่อยพิจารณาไม่ถูกกระทบก็ไม่พิจารณา  ปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าเจริญปัญญา  ปัญญาจะเกิดขึ้นทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ   อย่างมหาศาล  เพราะถ้าเราเอาความจริงมาตั้งไว้แล้ว  ความเชื่อที่เป็นความพอใจไม่พอใจ และความหลงก็ดับทันทีไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในขณะที่ถูกกระทบสัมผัส   เมื่อเรายึดเอาความจริงของกฎธรรมชาติ  ๒ กฎ มาตั้งไว้ใน  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  อย่างนี้เรียกว่าเอาสัมมาทิฐิมาตั้งเป็นฐานรับการถูกกระทบสัมผัส  เมื่อมีฐานที่เป็นความเห็นถูกหรือสัมมาทิฐิตั้งอย่างนี้  ความคิดถูกหรือดำริชอบ สัมมาสังกัปปะ  เกิดขึ้นตามมาต่อไป  องค์ธรรมของมรรคมีองค์ ๘ ก็เกิดขึ้นครบถ้วน คือ  สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสมาธิ   เมื่อมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นแล้ว  องค์ธรรมอื่น ๆ  เช่น  สติปัฏฐาน ๔  สัมมัปปธาน ๔  อิทธิบาท ๔  อินทรีย์ ๕  พละ ๕  โพชฌงค์ ๗  เกิดขึ้นครบ  โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนี้  คือองค์ธรรมของการบรรลุ  มรรค  ผล  นิพพาน  เมื่อผู้ปฏิบัติฝึกฝนตนเองจนมีองค์ธรรมนี้ครบถ้วนก็จะมีปัญญาดับทุกข์ได้ในชาตินี้  องค์ธรรมนี้จะเกิดจากการวิปัสสนาภาวนาพิจารณา ขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖  อย่างที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น  นี่คือพระธรรมที่เป็นเหตุของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  และที่พระองค์นำไปสั่งสอนชาวโลกไปปฏิบัติ  เมื่อชาวโลกได้นำไปปฏิบัติแล้วได้บรรลุ  มรรค  ผล  นิพพาน  เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเรียกว่าพระอรหันต์อัครสาวก  พระพุทธเจ้าตรัสว่าทางนี้คือทางสายเอกสายเดียวที่ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรค  ผล  นิพพาน  ได้ในชาตินี้  ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีก
       บางคนอ่านพระไตรปิฎกแล้วไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนว่า  พระธรรมสูตรนั้นเป็นเหตุหรือเป็นผลของการตรัสรู้  และพระองค์ตรัสสอนใคร  อริยบุคคลหรือบุคคลธรรมดา  ซึ่งมีบางสูตรพระองค์ท่านตรัสสอนว่า  ดูกรภิกษุ  ถ้าพวกเธอทำสมาธิให้ได้ฌาน ๔ และเอาฌาน ๔  ไปพิจารณา  อาสวักขยญาณ  หรือญานแห่งความหลุดพ้นแล้วพวกเธอสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้  อย่างนี้  ถ้าดูให้ดี ๆ  จะเห็นว่าท่านตรัสว่า “ดูกรภิกษุ” นั้นหมายถึงพระองค์ท่านสอนพระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบัน บุคคลขึ้นไป “พระโสดาบันบุคคลขึ้นไปนั้นทำสมาธิได้” เพราะมีปัญญาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  หรือมีสัมมาทิฐิแล้ว  เมื่อไปทำสมาธิ  สมาธินั้นก็จะเป็นสัมมาสมาธิ  แต่ถ้าพวกเราปุถุชนคนธรรมดา เอาไปทำก็จะเป็นมิจฉาสมาธิทันที  เพราะเรายังไม่มีปัญญาประกอบสมาธิ  อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติผิดคำสอน  คำสอนอย่างนี้พระองค์ท่านสอนอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปให้เอาไปปฏิบัติ  เพื่อให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน นั้นเร็วขึ้น  ไม่ใช่สอนพวกเราปุถุชนคนธรรมดาพูดง่าย ๆ  ว่าเราเรียนอยู่ชั้น ป.๔  แล้วเอาหลักสูตร ม.๖ มาเรียน  เรียนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็ปฏิบัติหรือทำผิดคำสอนแน่นอนฉันใดฉันนั้น
       ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมให้ถูกทางนั้นจะต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างดีก่อน  อย่างที่กล่าวว่าไว้ข้างต้นว่า  คำสอนใดเป็นเหตุหรือผลการตรัสรู้  สอนผู้ใด คำย่อ หรือคำเต็ม  ต้องเข้าใจถึงขนาดนี้  จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรมถูกธรรม  มีผลออกมามีปัญญาดับทุกข์ได้  แต่ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้  การปฏิบัติจะผิดธรรมทันที  คือไปเอาพระธรรมคำสอนในส่วนที่เป็นผลของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนไว้ให้กับอริยบุคคล ตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไปมาปฏิบัติ   อย่างที่เห็นสำนักวิปัสสนาภาวนาทั้งหลายทั้งในวัดและนอกวัด  เอามหาสติปัฏฐานสูตร  หรือเอาสติปัฏฐาน ๔ พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ไปปฏิบัติวิปัสสนา โดยฝึกจิตกำหนดให้สติติดตามอิริยาบถ หรือความเคลื่อนไหวของกาย เช่น  นั่งหนอ  ยกหนอ  เดินหนอ  ก้าวหนอ  ยุบหนอ  พองหนอ  และเอาสติไปกำกับลมหายใจ  เข้า-ออก ฯลฯ  อย่างนี้ถือว่าเป็นการวิปัสสนาตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎก สูตรนี้เป็นหลักสูตรของอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป   ไม่ใช่สำหรับปุถุชนทั่วไป   เพราะอริยบุคคลมีปัญญาหรือสัมมาทิฐิอยู่แล้วปฏิบัติอย่างนี้ได้  เพราะจะทำให้เกิดสัมมาสมาธิ  แต่ถ้าบุคคลธรรมดาเอาไปปฏิบัติก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างผิดธรรม  มีผลออกมาเป็นสมาธิหรือมิจฉาสมาธิเท่านั้น  ไม่มีปัญญาเกิดขึ้น  นั่นคือผู้ปฏิบัติผิดทางอย่างนี้เป็นการบำเพ็ญความพอใจ และไม่พอใจ หรือโลภ โกรธ หลง ให้กับตนเองโดยไม่รู้ตัว  ถ้าพูดโดยไม่เกรงใจกันแล้วก็บอกให้ว่าผู้ปฏิบัติ  ผิดอย่างนี้ บำเพ็ญตัวเองไปสู่นรกอเวจี ด้วยความพอใจ  เพราะผลจะตรงกับเหตุเสมอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  มิจฉาทิฐิเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในนรกหรือเดียรัจฉานทางใดทางหนึ่งเหมือนจับไปวางไว้
       ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมถูกทางนี้สำคัญต่อชีวิตของเรามาก  ผิดพลาดไม่ได้  ถ้าผิดพลาดหลงไปปฏิบัติสมาธิแล้ว  โอกาสที่จะกลับมาวิปัสสนาภาวนาตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้นไม่มีโอกาสอีกเลยในชีวิตนี้  ขอให้ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจงตระหนักเรื่องนี้ให้มาก  ถ้าหากท่านหลงทางไปติดที่สมาธิแล้ว  พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่จะปลดท่านออกจากสมาธิได้  ขณะนี้พระพุทธเจ้าไปปรินิพพานไปนานแล้ว  จึงไม่มีผู้ใดช่วยท่านออกมาจากสมาธิได้  ท่านก็จะไปติดตาข่ายของพญามารอยู่ที่ความสงบตลอดไป เสียเวลาชีวิตไปอีกชาติหนึ่ง  ชาตินี้จึงเสียโอกาสอันดีที่ท่านได้เกิดมาเป็นคนเพื่อหนีทุกข์ไปหาสุขถาวรให้ให้กับตัวเอง  ได้แต่เพียงหลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น
       สรุปการปฏิบัติธรรมที่ถูกทางได้นั้น  ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจพระธรรมคำสอนอย่างถ่องแท้  สามารถแยกแยะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่า  พระธรรมอันใดเป็นผลของการตรัสรู้  และพระธรรมอันใดเป็นเหตุของการตรัสรู้  พระธรรมสูตรนั้น ๆ  พระองค์ท่านตรัสสอนผู้ใด  สอนอริยบุคคล  หรือสอนบุคคลธรรมดาทั่วไป  ตรัสสอนเป็นคำย่อสรุป  หรือเป็นคำเต็มถ้าเป็นคำย่อสรุปแล้ว  คำเต็มว่าอย่างไร  ต้องรู้และเข้าใจพระธรรมคำสอนในระดับนี้  จึงจะนำพระธรรมคำสอนนั้นมาปฏิบัติถูกทางแล้วพบความสำเร็จในชีวิต  คือมีปัญญาดับทุกข์ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติไปจนถึงดับทุกข์ถาวรได้   ตามความเป็นจริงแล้ว คนเราเกิด  มีทางเลือกอยู่ ๒ ทาง คือ  “ดับทุกข์” กับ “หลบทุกข์”  ถ้าเราไม่ปฏิบัติดับทุกข์ให้กับตัวเองแล้วเราก็ปฏิบัติหลบทุกข์ให้กับตัวเองทันที บุคคลที่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องและเข้าใจจะเลือกทางดับทุกข์ถาวรให้กับตัวเอง  ส่วนบุคคลที่ไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ก็จะเลือกทางหลบทุกข์ชั่วคราวให้กับตัวเองถาวรไปตลอดชีวิต  เช่น ไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจก็หลบทุกข์  ไปดูหนัง ฟังเพลง  กินเหล้า  ยาเสพติด  ก็จะหลบทุกข์ชั่วคราว  ไปนั่งทำสมาธิก็หลบทุกข์ชั่วคราว  กลับมาบ้านแล้วก็ทุกข์อย่างเดิม  ท่านผู้อ่านทั้งหลาย  ท่านตรวจสอบตัวของท่านเองดูว่าตัวของท่านเลือกทางไหน  ถ้าเลือกทางผิดก็เสียเวลาชีวิตไปชาติหนึ่ง  ถ้าเลือกทางถูกก็เป็นสิริมงคลอันยิ่งใหญ่แก่ตัวท่านเอง
Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้