ผลของการกระทำนั้น เกิดจากข้อมูลเก่าที่เราเก็บไว้มาหลายภพหลายชาติ
๑,๔๐๐ ปี ไม่มีใครรู้ และบอกเราว่า
ผลของการกระทำนั้น เกิดจากข้อมูลเก่า ที่เราเก็บไว้มาหลายภพ หลายชาติ
เมื่อไม่รู้ก็คิดว่า เป็นพรหมลิขิต แต่มันเกิดจากเราลิขิตเอง
เพราะเราไม่รู้ ไม่ได้ศึกษาตัวเราเลย แต่ละวัน แต่ละปีที่ผ่านไป
มันเป็นประสบการณ์ในชีวิต ให้รู้ว่า
การกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ *ทำเสียได้ผลเสีย *ทำไม่ดีได้ผลไม่ดี
และคิดไม่ออกเลยว่า ที่ผ่านไปนั้น อันไหน สิ่งไหน เป็นครูให้เราบ้าง
แต่ความจริงเป็นครูทั้งหมด ทั้งผิดและถูก
ถ้าเรามีปัญญาจากประสบการณ์ของปีที่ผ่านมา ก็เอาผลของปีนั้น ๆ มาศึกษาเรียนรู้ในปีใหม่
ภาษิตอินเดียกล่าวว่า
ลูกธนูจะพุ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ ก็ต่อเมื่อเราโน้มสายธนูไปด้านหลังให้ได้มากที่สุด เท่านั้น
ลูกธนูก็จะไปข้างหน้าได้ไกลตามนั้น นั่นหมายความว่า ให้เรามองดูอดีตที่ผ่านมา แล้วใช้อดีตเป็นครูให้ได้
แต่เราทำไม่เป็นเลย จะหนักจะเบาเราก็รู้ แต่ถ้าเราไม่ดูเหตุปัจจัยในอดีต ก็มืดมิดไปหมด แก้ไขปัญหาไม่เป็น
ความมืดมิดนี้ จึงทำให้เราเกิดความประมาท คิดแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ให้มันเกิดไป
พระพุทธเจ้าว่า ไม่ถูกต้อง
ชีวิตคนเราต้องเตรียมการถูกกระทบ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการปรุงแต่ง
ถ้าเราไม่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ
การปรุงแต่งจากเรื่องนิดเดียว ก็เกิดเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงติดคุกติดตะรางได้
สิ่งเหล่านี้เกิดจากการถูกกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านั้น
พระพุทธเจ้าว่า
มนุษย์มีหน้าที่ศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนตนเอง (คือ การเพิ่มปัญญา ด้วยความเพียร)
ฉะนั้นชีวิตจึงต้องฝึกปฏิบัติ "ดับ" การถูกกระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อ
*หยุดความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
*หยุดการปรุงแต่ง
*หยุดการเวียนว่ายตายเกิด
มุ่งสู่เป้าหมาย คือ บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น