พระพุทธเจ้าวางหลักของศาสนาพุทธ อีกประการหนึ่งไว้ คือ การให้ทาน ทานคือการให้ ให้เพื่อลดความเห็นแก่ตัว เมื่อเราลดความเห็นแก่ตัวลงแล้ว มีความสงบเกิดขึ้นในใจ ศีลก็เกิดขึ้นตามมา แล้วพระพุทธเจ้าให้ภาวนา ทาน ศีล ความสงบร่มเย็นก็ตามมา ภาวนาแปลว่าทำให้ทานเจริญ ขยายให้เห็นความจริงชัดเจน เมื่อรู้ความจริงตามธรรม ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ก็ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แล้วศีลจะตามมา ควรฝึกให้ทานบ่อย ๆ ฝึกตัวเองไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่นบ่อย ๆ นั่นคือ ศีล
หากเราฝึกอย่างนี้เป็นประจำ ตัวเราก็จะเบา ใจเราก็เบา ไม่มีข้อมูลสร้างทุกข์เพิ่มขึ้น เมื่อเรามีข้อมูลสร้างสุข คือ เราสร้างความสงบร่มเย็นให้เกิดขึ้นกับตัวเรา เราร่มเย็นได้เพราะเราเห็นธรรม เราได้มาอยู่ในร่มพระพุทธศาสนา มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
การทำบุญที่ได้บุญมาก อีกอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ง่าย คือ การใส่บาตรพระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาตในตอนเช้า ด้วยข้าวสุก และอาหารดีมีประโยชน์ ในที่นี้อาหารดีมีประโยชน์ คือ อาหารที่ถูกต้องตามธรรมวินัย คือ อาหารปรุงสุก พระสงฆ์สามารถทานได้ทันที ไม่ต้องนำไปประกอบอาหาร หากเป็นผลไม้ก็ให้ปอกเปลือกและนำเมล็ดออก และอีกอย่างคือ ควรใส่บาตร ด้วยปริมาณที่พระสงฆ์ฉันได้อิ่ม ควรเว้นการนำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อาหารใส่ลงในบาตร เพราะบิณฑบาต แปลว่า ขอข้าวกิน หากเราใส่บาตรถูกต้องอย่างนี้เราจะได้บุญมาก เพราะเป็นการร่วมกันส่งเสริมให้พระสงฆ์รักษาศีลได้ง่าย และเป็นการช่วยดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ ท่านจะได้มีกำลังในการศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม และนำคำสอนที่ถูกต้องครบถ้วนของพระพุทธเจ้ามาสั่งสอน ศรัทธาญาติโยมให้มีธรรม ให้นำธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง
เมื่อใส่บาตรเสร็จ เราควรเอ่ยขอพรบท ยะถาฯ จากพระสงฆ์ พร้อมกับกรวดน้ำ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญนี้ไปให้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ ครูอาจารย์ ญาติมิตร เจ้ากรรมนายเวรทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะว่าท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีบุญคุณต่อเรา การที่เราระลึกถึงบุญคุณท่าน และแผ่บุญไปให้ก็เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี ส่วนเจ้ากรรมนายเวร เป็นนามธรรม เรามองไม่เห็น เราก็อุทิศบุญเผื่อแผ่ให้ท่านไป เป็นการฝึกให้ทานในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยพัฒนาจิตใจเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ส่วน บทให้พร สัพพีติโยฯ ที่พระท่านสวดให้ ก็ให้เราตั้งใจรับพร เพื่อขอบุญนั้นให้แก่ตัวเราเอง เพื่อให้บุญที่เราทำไปนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรามีปัญญามีดวงตาเห็นธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจนบรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ ส่วนทางโลก ก็ขอบุญนี้เป็นเหตุปัจจัยให้เราเจริญในหน้าที่การงาน ธุรกิจ การค้าขาย การศึกษา ให้มีเงินมีทองใช้กินใช้ทำทานใช้เลี้ยงชีวิตครอบครัวไม่มีวันหมด ถ้าปรารถนาสุขภาพพลานามัย ก็ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ภยันตรายทั้งหลายอย่ามากล้ำกราย ใครที่คิดร้ายหมายเป็นศัตรู ก็ให้กลับกลายเป็นมิตรที่ดี และหากจะเดินทางไปไหนมาไหน ไม่ว่าใกล้หรือไกล ก็ขอให้การเดินทางทุกครั้งปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงไปตลอดชีวิต การอธิษฐานอย่างนี้ เป็นการเติมบุญให้กับตัวเรา สามารถทำได้ทุกวัน ตามโอกาสที่เรามี ลองไปทำดูนะ ใส่บาตรพระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาตตอนเช้า และท่องไม่เที่ยงเกิดดับเป็นประจำ หลายคนลองแล้ว ก็ประสบความสำเร็จไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน ผู้ที่ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง แต่เราอย่าลืมว่า การจะเดินทางสายใหม่ได้สำเร็จ เราต้องมีบุญและกุศลเคียงคู่กัน
บุญ คือความสุข กุศล คือปัญญา คือความรู้ที่ดับทุกข์ได้ ขณะที่เรามีบุญอยู่ บุญก็จะเป็นเกราะกำบังป้องกันภัยมาร ไม่ให้มาขัดขวางเรา ในระหว่างที่เรากำลังฝึกฝนตนเอง เติมปัญญาธรรมของพระพุทธเจ้าใส่ไว้ในใจเรา คือ การฝึกท่องไม่เที่ยงเกิดดับ และฝึกตามทัน เห็นความจริงในสิ่งที่มากระทบสัมผัสเรา ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมปรุงชั่วคราว แล้วแตกสลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา ไม่เที่ยงเกิดดับ
การที่เราตั้งใจแผ่เมตตาให้กับตัวเราเองอย่างนี้ ก็เพื่อตอกย้ำตัวเราให้อยู่กับเจตจำนงที่แท้จริงที่เราเกิดมาเป็นคน ให้ได้มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา พบพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง พบผู้บอกทางที่ถูกต้อง พบวิธีการฝึกฝนตนเอง ได้มาฝึกฝนตนเอง ใกล้ชิดสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ให้ออกจากวัฏจักรทุกข์ซ้ำซาก ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดให้สำเร็จให้ได้ในชาตินี้