อริยสัจ ๔ ตอนที่ ๓

 ถ้าไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สมุทัย ก็ไม่รู้นิโรธ ไม่รู้มรรค
ที่ผ่านมาไม่มีใครรู้นะ
๑,๔๐๐ ปีไม่มีใครรู้เลย  เพราะไม่มีใครเข้าใจใน อริยสัจ ๔
เมื่อไม่รู้อริยสัจ ๔  ก็ไม่รู้จะเอาคำสอนพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

ไปปฏิบัติ พัฒนาบุคคล เป็นอริยบุคคลได้อย่างไร

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่า

มรรค คือ ตามทันเป็นประจำ
ตามทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

*ตา เห็นรูป รูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ 
ดับสิ่งที่มากระทบสัมผัสทางตา
*หู ได้ยินเสียง เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ 
ตามทันทางหู ดับทุกข์ที่หู
*จมูก ได้กลิ่น กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ
ดับทุกข์ทางจมูก ตามทันทางจมูก
*ลิ้น ได้รส รสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ
ตามทันสิ่งที่มากระทบทางลิ้น ดับทุกข์ทางลิ้น
*กายสัมผัส สัมผัสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ
ก็ดับทุกข์ทางกาย ตามทันทางกาย
*ใจคิดนึกไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ 
ตามทันทางใจ ก็ดับทุกข์ทางใจ
ถ้าท่านไม่ท่อง แล้วท่านจะเอาอะไรไปดับทุกข์ล่ะ?
อันนี้คือ *อริยสัจ ๔*  เมื่อท่องแล้วจะได้ อริยสัจ ๔ ครบเลย
เพราะหัวใจสำคัญ คือ การตีความ นิโรธ มรรค ให้ได้
ถ้าตีความว่า นิโรธ คือตามทัน ไม่ได้
ตีความ สมุทัย ว่า *ตามไม่ทัน* ว่าเป็น *หลง*  ไม่ได้ ก็จบ
ไม่สามารถเอาอริยสัจ ๔  ไปปฏิบัติได้อย่างเด็ดขาด
เพราะไม่รู้ทาง

HOW TO ไม่มี  อันนี้คือ ความจริง
นี้คือ พระพุทธเจ้าสอน  ธัมมจักรกัปปวัตตนะสูตร
แล้วก็สอน เอาธรรมชาติ ๒ กฏ

ไปใช้ใน ธัมมจักรกัปปวัตตนะสูตร ว่า...
*รูป เที่ยง หรือไม่เที่ยง
*เวทนา เที่ยง หรือไม่เที่ยง
*สัญญา เที่ยง หรือไม่เที่ยง
*สังขาร เที่ยง หรือไม่เที่ยง
*วิญญาณ เที่ยง หรือไม่เที่ยง
รูป เป็น อนัตตา
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา 
ท่านก็สอนอย่างนี้ให้กับ ปัญจวัคคีย์
เมื่อปัญจวัคคีย์แก่กล้าแล้ว 

ปัญญาแก่กล้า ท่านสอน ญาณทัสสนะ ให้เห็นความจริงของสิ่งทั้งปวง

*รูป  ไม่ว่า อดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายใน หรือภายนอก 
หยาบ หรือละเอียด, เลวหรือ ปราณีต, ไกล หรือใกล้
ทั้งหมดเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง

เกิดจากเหตุปัจจัย มาประชุมปรุงแต่งชั่วคราวแล้วแตกสลาย
*เวทนา ความพอใจ ไม่พอใจ อย่างใด อย่างหนึ่ง

ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายใน หรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด,  เลวหรือปราณีต,  ไกลหรือใกล้ 
ทั้งหมดเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง

เกิดจากเหตุปัจจัย มาประชุมปรุงแต่งชั่วคราว แล้วแตกสลาย
พอจบสูตรนี้  ปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์
มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกนี้  ๖ องค์ รวมทั้งพระพุทธเจ้า
สอนญาณทัสสนะ เห็นตามจริง หมายความว่า
เห็นตามปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า....
เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งตัวเรา เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง 
เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมปรุงแต่งชั่วคราวแล้วแตกสลาย 
ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง 

เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว
ก็ไม่ควรไปยึดมั่น ถือมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของเรา เป็นเรา
เป็นตัวตนของเรา ทุกคนเห็นความจริง 
ปัญจวัคคีย์เห็นความจริง ก็ละคลายสิ่งทั้งหลายทั้งปวง 
<< จึงได้เป็นพระอรหันต์ >>
ผมสอน..ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
สอน..อนัตตลักขณสูตร
สอน..ญาณทัสสนะ
ผมสอนครบ > เมื่อท่านปฏิบัติตามนี้
ท่านเป็นพระอรหันต์..เพราะ
คนธรรมดาอย่าง ปัญจวัคคี เป็นพระอรหันต์
เพราะสูตรนี้..

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จึงเป็นสูตรแรก
ที่พระพุทธเจ้าสอนคนธรรมดาทั่วไป
แต่ไม่มีนักปราชญ์ราชบัณฑิต เข้าใจการสอนได้
ถ้าเขาเข้าใจ ก็จะเห็นว่าศาสนาพุทธเกิดขึ้น ทันที
เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นอริยบุคคล
ได้บวชเป็นพระสงฆ์  ศาสนาพุทธก็มีพระรัตนตรัย
เกิดขึ้นครบ มี < พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ >
เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ
เพราะพระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าลบเลือนไป
๑๔๐๐ ปี  ผมเอามาฟื้นฟู เอามาสอนท่าน
แล้วท่านก็มีดวงตาเห็นธรรม 
แล้วบรรลุธรรมในขณะนี้...

จำไว้นะ มรรค คือ ตามทันเป็นประจำ
การจะตามทันเป็นประจำ ต้องมีข้อมูลใหม่
การจะมีข้อมูลใหม่ ทำอย่างไร ก็คือ  **ท่องจำ**

ฉะนั้นหลักการของศาสนาพุทธ 
ในการปฏิบัติให้ บรรลุ มรรค ผล นิพพานได้
ก็คือ ท่องจำ  ไม่ใช่การพิจารณา
เห็นมั้ยว่า โพธิปัก ๓๗ ประการพระพุทธเจ้าให้ท่อง
ตาเห็นรูป รูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ

สัมมาทิฏฐิ เกิดขึ้นที่ใจแล้ว/

เมื่อสัมมาทิฏฐิ หรือปัญญา ความเห็นชอบเกิดขึ้น/

สัมมาสังกัปปะ ดำหริชอบ เกิดขึ้นตามมา/

เพราะข้อมูลชอบ ก็คิดชอบ สัมมาวาจา พูดชอบ ตามมา/

สัมมากัมมันตะ การทำงานชอบก็ตามมา/

เมื่อมีการงานชอบ สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ ก็ตามมา/ 

สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ ตามมา/

สัมมาสติ  ระลึกชอบตามมา/

สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบตามมา....

ท่องไม่เที่ยงเกิดดับ มรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ท่าน.... ท่องไปอีก 
ตาเห็นรูป รูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ
สติปัฏฐาน ๔ เกิดขึ้น... เกิดขึ้นอย่างไร?
ตาเห็นรูป รูปไม่เที่ยงเกิดดับ คือ  ธรรมานุปัสสนา
ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ คือ  กายเวทนาจิต นี้คือตัวฉัน

กายเวทนาจิต คือ ตัวเราไม่เที่ยงเกิดดับ
แล้วธรรมานุปัสสนา กายในกาย ภายในภายนอก
ไม่เที่ยงเกิดดับ...

ตามที่สอนกันมา กายในกายหนอ! "ผิด"

ต้อง *ไม่เที่ยงเกิดดับ* เพราะต้องไปให้ถึงที่สุดของมัน

ที่สุดของธรรมชาติ คือ....
ไม่เที่ยงเกิดดับ/  ใหม่ เก่า แตกสลาย/  หนุ่ม แก่ ตาย

เวทนาในเวทนา  ความพอใจภายในภายนอก ไม่เที่ยงเกิดดับ...

*ยุงกัด* เวทนาภายนอก *คัน*
เสียงด่า กระทบหู  เสียงด่าภายใน เกิดขึ้น ไม่พอใจ
เวทนาภายในภายนอก ไม่เที่ยงเกิดดับ
ตาเห็นรูป รูปไม่เที่ยงเกิดดับ

จิตในจิต คือ ความสุขภายในภายนอก ไม่เที่ยงเกิดดับ
กายเวทนาจิต คือ ตัวฉันไม่เที่ยงเกิดดับ
เมื่อท่อง ตาเห็นรูป รูปไม่เที่ยงเกิดดับ
จนถึง ใจคิดนึก ไม่เที่ยงเกิดดับ คือ ธรรมมานุปัสสนา
เมื่อเราท่องไม่เที่ยงเกิดดับ มรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้น
สติปัฏฐาน ๔ ตามมา....

แล้วเมื่อท่องเป็นประจำ 
มันก็เกิดความเพียร ๔ อย่างคือ.... 
 สัมมัปปธาน ๔ เกิดขึ้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของท่าน

พวกนี้ท่านไม่ต้องจำ มันมาเอง เหมือนท่าน กินข้าวแล้วอิ่ม 
เมื่อท่องไม่เที่ยงเกิดดับมากเข้า มากเข้า ๆ ๆ 
มันจะเข้าไปใน มโนทวาร ในใจ...

ทำให้เกิดความสำเร็จ อิทธิบาท ๔ เกิดขึ้นในใจท่านเลย

จึงมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในใจท่าน เมื่อถึงตรงนี้....
**ท่านได้ โสดาบันแล้ว**
ท่องไม่เที่ยงเกิดดับ จนอินทรีย์ ๕ แก่กล้า 
กำลังทั้ง ๕ เกิดขึ้น/ พละ ๕ เกิดขึ้น/
กำลังปัญญา ดับข้อมูลเก่าแล้ว... ได้อรหันต์ เกิดขึ้น
คือ อรหันตมรรค  ยังไม่ได้เป็นผล
เมื่อท่านได้เห็นตัวท่านว่า....ไม่มีอะไรแล้ว
มีแต่ความจริง ไม่เที่ยงเกิดดับ เท่านั้น
พระพุทธเจ้าว่า ให้เชื่อมต่อกับโลก ภายนอกว่า
ตัวเรากับโลกภายนอก มันเหมือนกันมั้ย
โภชฌงค์ ๗ เกิดขึ้น 
โภชฌงค์ ๗ ให้สติระลึกสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ว่า ตาเห็นรูป รูปไม่เที่ยง จริงมั้ย...เห็นว่าจริง...

ให้เอาไปพิจารณา... ไปจนถึงใจคิดนึก....
พิจารณาว่าจริง....

ก็เป็นความเพียร  ดึงสิ่งที่มากระทบ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มากระทบ พิจารณาตลอดเวลา

ในที่สุดก็เห็นความจริงว่า... ตัวฉัน กับโลกภายนอก
เป็นอย่างเดียวกันเท่านั้น คือ ไม่เที่ยงเกิดดับ 
ความพอใจ ไม่พอใจไม่มีเหลือเลย...

เหลือแต่ *ไม่เที่ยงเกิดดับ*

เหลือแต่ความจริง... ของกฎธรรมชาติ ๒ กฎ

ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

แล้วเกิด ปิติ อิ่มอก อิ่มใจ.... แล้วปัสสัทธิโปร่งโล่ง
เกิดสุขที่ไร้ทุกข์  สมาธิตั้งมั่น สุขที่ไร้ทุกข์อยู่ตลอดเวลา
เกิดอุเบกขา  ก็รู้เห็น อริยสัจ ๔ 

เห็นตามจริง ตามที่พระพุทธเจ้าเห็น....

เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
และเห็นวิธีดับทุกข์ ว่าดับอย่างไร?
หมายความว่า เมื่อถึงจุดนี้แล้ว.... ตัวตนเราไม่มีแล้ว
ดับหมด เพราะเหตุปัจจัยการเวียนว่าย ตายเกิดหมดแล้ว
*ก็ดับทุกข์ เป็น สมุจเฉท* ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
เพราะความพอใจ ไม่พอใจ ไม่มีเหลือในใจแล้ว

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้