อวิชชา(2)

Last updated: 26 ธ.ค. 2566  |  170 จำนวนผู้เข้าชม  | 

อวิชชา(2)

           ความยึดมั่นถือมั่น  เป็นสุดยอดของอวิชชา  ที่พัฒนามาอย่างแยบยลละเอียดลึกซึ้ง  รู้เห็นได้ยาก  แก้ไขได้ยาก  ฉะนั้น  ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจอวิชชาเป็นลำดับไป  จึงจะมองเห็นได้และแก้ไขได้  เราคิดไม่ถึงเลยว่า  ตัวของเราจะโง่ขนาดนี้  โง่จนไม่รู้อะไรใด ๆ  เลย  ทุกวันนี้คนเราทำตามความไม่รู้ทั้งหมด  ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเราไม่รู้อะไร  มองหาประโยชน์แท้  ประโยชน์เทียมของชีวิตไม่เห็นเลย  นี่คือความหลงที่เราทำซ้ำในชีวิตของเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วน  ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง  เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราเวียนว่ายตายเกิดมาด้วยอวิชชานี้  นับภพนับชาติไม่ถ้วน 

           คนเราไปทำอะไรอยู่ทุกวันนี้  คำตอบ  ไปทำตามความพอใจ  ไม่พอใจหรืออวิชชา  ไปพัฒนาอวิชชาที่ละเอียดลึกซึ้ง  จนเป็นอนุสัยกิเลสให้กับตัวเอง  อนุสัยกิเลสอันนี้ก็จะนอนเนื่องอยู่ในใจของคนเรา  ติดตามตัวของเราไปทุกภพทุกชาติ  จนกว่าคนเราจะฝึกฝนตนเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  จึงจะดับอนุสัยกิเลสเหล่านี้ได้  ดับการเวียนว่ายตายเกิดได้  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  เกิดมาเป็นคนนั้นยากกว่าสิ่งที่พระองค์จะอุปมาให้ฟัง ดังนี้ว่า  เต่าตาบอดตัวหนึ่ง  เกิดในทะเลมหาสมุทร 100 ปี โผล่น้ำมาครั้งหนึ่ง  ให้เธอคนใดคนหนึ่ง  ทำบ่วงเท่าหัวเต่าลอดได้  แล้วโยนบ่วงนั้นลงในทะเลมหาสมุทร  ถ้าเต่าตาบอดตัวนั้น  100 ปี โผล่น้ำมาครั้งหนึ่ง  มาเจอกับบ่วงนั้นที่พวกเธอทิ้งลงในทะเลมหาสมุทรนั้น  พระพุทธเจ้าว่า  อันนี้ยังง่ายกว่าการเกิดมาเป็นคนเสียอีก  ยากขนาดไหนคิดตามดูได้

           ขณะนี้เราเกิดมาเป็นคนแล้ว  ถ้าแก้ไขตัวเองให้รอดพ้นจากอวิชชาไม่ได้  ก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้เกิดมาเป็นคนอีกครั้ง  น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นคนชาตินี้  ขาดสติปัญญา  จึงไปหลงอวิชชา  หรือความพอใจ  ไม่พอใจ  ไม่สามารถพาตัวเองกลับมาหาตัวเองจริง ๆ ได้  จึงไม่มีโอกาสจะได้แก้ไขตนเองไปหาสุขถาวรได้  มัวไปหลงมัวเมาสุขชั่วคราว  ทำให้ตัวเองมืดบอดทั้งตานอกและตาใน  ไม่มีแสงไฟแสงดวงดาว  แสงดวงอาทิตย์  ส่องไปถึงความมืดบอดของอวิชชา  ที่ปิดบังตานอก  ตาในของเรา  มีอยู่แสงเดียวเท่านั้นที่จะส่องไปถึงได้  แสงนั้นคือแสงธรรมของพระพุทธเจ้า  ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เท่านั้น

           สรุป  การพัฒนาแปลงร่างของอวิชชา ไปเป็นรูปแบบต่าง ๆ  ซึ่งแต่ละอัน  รู้เห็นได้ยาก  เพราะมันแฝงอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของคนเราทุกคน  ให้คนเราเอาไปทำซ้ำตลอดเวลา  จนกลายเป็นความเคยชิน  หรือพฤติกรรมดังนี้

           อวิชชา  >>>  โลภะ  โทสะ  โมหะ   >>>  ความพอใจไม่พอใจ  >>>   ความรู้สึกนึกคิด  >>>  ความไม่รู้  >>>  ชื่อสิ่งของบุคคล  >>>  ตัวหนังสือ  >>>  ความยึดมั่นถือมั่น  >>>  ตัวกูของกู  >>>  อวิชชาหรือความไม่รู้  >>>  เป็นเหตุปัจจัยให้คนเราเวียนว่ายตายเกิดหาที่สิ้นสุดไม่ได้

           พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  คนเราเกิดมาเพราะอวิชชา  อวิชชาเป็นเหตุปัจจัยให้คนเราเกิดมา  ถ้าดับอวิชชาไม่ได้  ก็ดับการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้  จะดับอวิชชาได้  ต้องเอาความจริงคือ กฎธรรมชาติ 2 กฎ  หรือไม่เที่ยงเกิดดับมาทำซ้ำ  จนเป็นความเคยชิน หรือพฤติกรรมเท่านั้น

           ขณะนี้เราจะเห็นว่า  วิถีชีวิตของคนเรา  เป็นวิถีชีวิตที่ทำซ้ำ  แต่คนเราตามวิถีชีวิต  หรือการดำเนินชีวิตของตัวเองไม่ทัน  จึงมองไม่เห็น  จึงไม่รู้ว่าตัวเองทำซ้ำตลอดเวลา  และก็ไม่รู้ด้วยว่า  เอาอะไรไปทำซ้ำ  ดีหรือไม่ดี  บุญหรือบาป  เพราะคนเราไม่มีโอกาสอธิบายการดำเนินชีวิตของตนเอง  ว่าอะไรผิดถูก  บุญบาปอย่างไร  ขณะที่ทำอยู่  เพราะพฤติกรรมของการทำซ้ำของความไม่รู้  ไม่เปิดโอกาสให้คนเราคิดก่อนทำได้เลย  แต่ละวันคนเราทำอะไรไปบ้าง  ดี  ชั่ว  บุญ  บาปอย่างไร  เราไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย  คนเราจึงไม่มีโอกาสเลือกสิ่งที่ดี ๆ  มีคุณค่าให้กับตัวเรา   ทุกคนต้องการสิ่งดี ๆ  ให้กับตนเองทั้งนั้น  แต่เลือกไม่ได้  เมื่อเลือกสิ่งดี ๆ  ไม่ได้  แต่ชีวิตคนเราต้องได้อะไรสักอย่างให้กับตนเอง  คนเราก็เลือกเอาสิ่งไม่ดี  สิ่งที่สร้างทุกข์ให้กับตนเอง  เรียกว่าอวิชชา  มาถึงตรงนี้  เราจะเห็นว่า  ชีวิตคือการศึกษาเรียนรู้  ถ้าเราไม่มีโอกาสศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของตนเองอย่างนี้แล้ว  เราจะไม่มีโอกาสรู้จักตัวเราเองได้เลยว่า  ตัวเราคืออวิชชา 

           คนเราทุกคนเกิดมาเพื่อจะมาแก้ปัญหาให้กับตัวเอง  แต่ไม่มีปัญญา  เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตโดยการศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของตัวเอง และโลกที่เราไปเกี่ยวข้อง  จึงไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อแก้ปัญหา  ไม่ได้เกิดมาสร้างปัญหา  คนเราจึงไม่รู้ว่าอะไรสร้างปัญหา หรือแก้ปัญหา  เพราะเราไม่มีปัญญาของพระพุทธเจ้า เป็นข้อมูลในการดำเนินชีวิต  มีแต่ข้อมูลของมาร  หรืออวิชชา เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหา  คนเราจึงแก้จากที่ผิดอีกทาง  ไปสู่ที่ผิดอีกทางหนึ่งอย่างนี้ตลอดเวลา  เมื่อเป็นอย่างนี้เราจะทำอย่างไร  เรื่องชีวิตของคนเราเป็นเรื่องกุศลกรรม และอกุศลกรรมเป็นผู้ลิขิต 

           ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  กรรมเป็นเผ่าพันธุ์  กรรมจำแนกบุคคล  กรรมลิขิต  คนทำดีก็ได้รับผลดี  คนทำความชั่วก็ได้รับผลชั่วนั้น  คนมีบุญกุศลเป็นเผ่าพันธุ์  บุญกุศลนั้นก็พาตัวเขาไปพบกับกัลยาณมิตร  และพบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เขาก็จะมีความรู้และปัญญาแก้ปัญหาชีวิตของเขาได้  ส่วนคนที่ไม่มีบุญกุศล  อกุศลกรรมก็พาตัวเขาไปหาบาปมิตร  ไปลุ่มหลงโลกและชีวิตจนหาทางกลับมาหาตัวเองไม่ได้  ก็หมดโอกาสที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้  เพราะเขาไม่มีโอกาสพบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  จึงไม่มีความรู้ที่จะใช้แก้ปัญหาชีวิตได้

           ฉะนั้น  บุญบาปเป็นเหตุปัจจัยอันหนึ่งของชีวิตคนเรา  ความจริงบุญก็สามารถเติมให้กับตัวเองได้  แต่เราไม่รู้เรื่องบุญเรื่องบาป  เราจึงไม่ค่อยมีเวลาจะเติมบุญให้กับตัวเราเอง  แต่มีโอกาสเติมบาปให้กับตัวเองได้ตลอดเวลา  บุญบาปก็อยู่ในกฎธรรมชาติ  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เช่นกัน  ถ้าเราไม่เติมบุญ บุญก็หมด  ถ้าเราเติมบุญ  บุญก็มีเพิ่มขึ้น  และถ้าเราเติมบาป  บาปของเราก็เพิ่มขึ้น  ชีวิตของคนเรามีกรรมเป็นผู้ลิขิต  กรรมเป็นเผ่าพันธุ์  กรรมจำแนกบุคคล  ชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา  เราควรหมั่นเติมบุญให้กับตนเองเพื่อหนีอวิชชา 

           ถ้าเรามีบุญ  บุญก็พาเราไปหาเพื่อนที่มีบุญ  หรือมีปัญญา  เราก็จะได้ปัญญาจากเขา  ปัญญาเท่านั้น  ที่จะพาเราหนีไปจากทุกข์หรืออวิชชา  พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีปัญญา  พระธรรมคำสอนของท่าน  คือตัวปัญญาที่เราจะใช้แก้ปัญหาชีวิตได้  ปัญญาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นแหละ  คืออริยทรัพย์ที่คนเราทุกคนต้องการ  อริยทรัพย์คือทรัพย์ที่นำติดตัวเราไปได้  หรือเอาไปได้  และใช้แก้ปัญหาชีวิตได้

           มาถึงตรงนี้แล้ว  ท่านรู้แล้วว่า  ท่านต้องการอะไรจริง ๆ ในชีวิตของท่าน  สิ่งที่ท่านต้องการไม่ใช่ลอยมา  จะต้องใช้เวลาฝึกฝนเอาเองเท่านั้น  วิธีฝึก  พระพุทธเจ้าบอกให้แล้ว  ถ้าท่านทำตาม  ก็จะประสบความสำเร็จดับอวิชชาได้  การแก้ปัญหาของชีวิตคนเราไม่ใช่ของง่าย  เพราะคนเราไม่รู้อะไรในชีวิต  จึงเอาเหตุของปัญหาไปทำซ้ำตลอดเวลา  ปัญหาจึงทับถมอยู่ในตัวเรามากมายนับไม่ได้  ดูผิวเผินเหมือนไม่มีปัญหาอะไร  แต่ถ้าถูกกระทบสัมผัสทางตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  เมื่อใด  ข้อมูลปัญหาที่เราสั่งสมเอาไว้ในใจของเราจะออกมารับการกระทบปรุงแต่งปัญหานั้น  ให้สลับซับซ้อนขึ้นไปอีกโดยที่เราไม่รู้ตัว  สร้างปัญหาใหม่ทับถมปัญหาเก่าทันที  ปัญหาเก่าก็แก้ไม่ได้  ปัญหาใหม่ก็แก้ไขไม่ได้  ทับไปถมมาไปตลอดชีวิต  ยากที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น 

           ทำไมคนเราจึงโหดร้ายต่อตัวเองอย่างนี้  ร่างกายเป็นคู่ชีวิตของใจ  ถ้าใจไม่มีปัญญา  จะโหดร้ายต่อร่างกายอย่างยิ่ง  ดูเวลาที่ใจมีโลภ  โกรธ  หลงอยู่ในใจมาก ๆ  ใจจะผลักไสร่างกายไปนู่นไปนี่  ทำนู่นทำนี่  ไม่ได้หลับไม่ได้นอน  บางครั้งก็ทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส  ถึงกับตายหรือพิกลพิการ  ซึ่งเราก็เห็นอยู่ จากตัวของเรา  และคนอื่น ๆ ที่เราได้พบเห็น  ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะอวิชชาควบคุมตัวเรา  หรือความไม่รู้ควบคุมตัวเรา  ทำให้เราไม่รู้อะไรเลย  รวมทั้งตัวเราเองด้วย  ถ้าคนเรารู้  เขาจะไม่ทำร้ายตัวเอง หรือร่างกายให้บาดเจ็บ  เพราะร่างกายเราไม่รู้อะไร  ใจสั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น  ร่างกายเป็นธาตุไม่รู้  ทำตามคำสั่งของใจทุกครั้ง  ใจของคนเราถูกควบคุมด้วยอวิชชา  ร่างกายของเราก็ทำตามอวิชชา   อวิชชาจึงเป็นวิถีชีวิตของคนเราทุกคน  ถ้าไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

           ต่อไปนี้  เราจะทำอย่างไรให้ตัวเรารู้ว่า  ตัวของคนเราทุกคนเกิดมาเพื่อต้องการนิพพาน  ขณะนี้จิตสำนึกของคนเราทุกคนไม่มีนิพพานอยู่ในใจ  มีแต่ความพอใจและไม่พอใจเท่านั้น  ฉะนั้น  เราต้องใส่ข้อมูลคำว่านิพพาน  หรือสุขถาวร  เข้าไปในใจให้ได้  เพื่อเอาชนะอวิชชา  อวิชชามันเป็นพฤติกรรมของเราไปแล้ว  ในแต่ละวัน  พฤติกรรมของอวิชชากำหนดวิถีชีวิตของเรา  คนเราถูกพฤติกรรมของอวิชชาบังคับให้เราสร้างความพอใจหรือไม่พอใจ  หรือโลภะ  โทสะ  โมหะ  โดยไม่รู้ตัวมาตลอดชีวิต  อันนี้เป็นเหตุปัจจัย  ให้เราเวียนว่ายตายเกิดหาที่สิ้นสุดไม่ได้ 

           เพราะขณะนี้คนเราคิดก่อนทำไม่ได้  นี่พิสูจน์ให้เราเห็นว่า  พฤติกรรมของอวิชชาควบคุมวิถีชีวิตของคนเรา  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ  ท่านพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองว่าจริงไหม  คนเราคิดก่อนทำไม่ได้  พฤติกรรม  คือการทำซ้ำบ่อย ๆ เนือง ๆ  จนเป็นปกตินิสัยในเรื่องนั้น ๆ  คนเราเอาอะไรไปทำซ้ำ  เอาความไม่รู้หรืออวิชชาไปทำซ้ำ  อวิชชาหรือความไม่รู้ เป็นของคนเรามาก่อนเราเกิดเสียอีก  สรุปง่าย ๆ ว่า  ความไม่รู้เป็นของคนเรา  เราสร้างขึ้นมาเอง

           ทำอย่างไร  ให้คนทั้งหลายรู้ว่า  คนเราถูกความไม่รู้หรืออวิชชาควบคุม  และบังคับ  ให้คนเราเอาความไม่รู้ไปทำซ้ำ  จนกลายเป็นนิสัยความเคยชินของความไม่รู้  ทำให้เราไม่รู้อะไรเลยในชีวิต  ว่าชีวิตคืออะไร  เป้าหมายชีวิตอยู่ที่ไหน  ทุกวันนี้เราทำอะไรอยู่  มีค่าหรือไม่มีค่าต่อชีวิต  ไม่รู้เลยจริง ๆ  แล้วคนเราไม่ได้ทำอะไรเลย ให้กับชีวิตของตนเอง  เพราะคนเราไม่มีโอกาสคิดถึงมัน  ฉะนั้น  การที่ทำให้คนทั้งหลายรู้ว่า  ชีวิตของเราถูกความไม่รู้ควบคุมนั่นไม่ใช่ของง่าย  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  คนเราทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมลิขิต  คนเราก็เป็นไปตามวิบากกรรมของตนเองที่ทำไว้  คนเราเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง  เหมือนกับสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป  เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว  แล้วแตกสลาย  ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง  บังคับบัญชาไม่ได้  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มาประชุมกัน

           ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้  คนเราเอาเหตุปัจจัยของอวิชชาหรือความไม่รู้  มาเป็นเหตุปัจจัย  มาประชุมกันในชีวิตของคนเราทุกคนตลอดเวลา  การที่จะแก้ไขตัวเราให้พ้นไปจากอวิชชาได้นั้น  ต้องอาศัยบุญกุศลที่เราสั่งสมฝึกฝนตนเองจนเป็นนิสัย  หรือพฤติกรรมมาพอสมควร  บุญกุศลนั้นจะทำให้ คนเราเกิดมาพบพระพุทธเจ้า  พบพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง  และพบคนบอกทางที่ถูกต้อง  ให้เรามีโอกาสศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  จนเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ  จึงจะพาตนเองหนีไปจากอวิชชาได้

           ถึงแม้อวิชชามันแปลงร่างของมันเป็นอะไรก็ตาม  แต่เวลามันจะเข้ามาสู่ตัวของคน  มันก็จะต้องผ่านตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ถ้าเราวิปัสสนาภาวนาท่องจำไม่เที่ยงเกิดดับ  กำกับตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจตลอดเวลา  จนเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวัน  ก็จะดับอวิชชาได้แน่นอน  อวิชชาที่นอนเนื่องอยู่ในใจ  เมื่อไม่มีการเติมอาหารใหม่  ความพอใจ  ไม่พอใจเป็นผัสสาหาร  เข้าไปทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  อวิชชาเก่าก็ต้องแตกสลายไปตามธรรมชาติ  หรือตายไป  หมดไปจากใจ  ความจริงของโลกและชีวิตที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือกฎธรรมชาติ 2 กฎ  หรือไม่เที่ยงเกิดดับ  ก็จะเข้าไปแทนที่ความพอใจ  ไม่พอใจ หรืออวิชชาในใจของคนเรา  ต่อไปชีวิตของคนเรา  ก็จะถูกปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นกรรมลิขิต  ดับอวิชชาได้ถาวร

           พระพุทธเจ้าตรัสว่า  คนเรามีอาหาร 4  เลี้ยงชีวิต  คือ กวฬิงการาหาร 1  คือ  อาหารหยาบที่เป็นรูปธรรม เช่น  ข้าว  น้ำ  ลม  ไฟ  ถ้าเราไม่กินข้าว 1 เดือนตาย,  ไม่กินน้ำ 7 วันตาย,  ไม่กินลม 5 นาทีตาย  อย่างนี้เป็นต้น  คนเราจึงกินข้าวกับน้ำกับลมทุกวัน  อาหารอันที่ 2  ผัสสาหาร  เป็นนามธรรม  เมื่อผัสสาหารเกิดขึ้น  ก็จะทำให้ มโนสัญเจตนาหาร  อาหารอันที่ 3  เกิดขึ้น  เมื่อมโนสัญเจตนาหารเกิดขึ้น  ก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณาหาร  อาหารอันที่ 4  เกิดขึ้น  วิญญาณาหารหรือความรู้สึกนึกคิด  ก็ไปเลี้ยงร่างกายทั้งหมด  ชีวิตของคนเรามีชีวิตอยู่ได้  เพราะอาหาร 4 นี้

           ผัสสาหารของพวกเราทุกคนในขณะนี้ก็คืออวิชชา  มโนสัญเจตนาหารก็เป็นอวิชชา  วิญญาณาหารที่เกิดขึ้นก็เป็นอวิชชา  อวิชชาจึงเลี้ยงร่างกายเราอยู่ทุกวันนี้  ถ้าเราเปลี่ยนผัสสาหารเป็นไม่เที่ยงเกิดดับ  ซึ่งเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า  ปัญญาของพระพุทธเจ้า  ก็จะไปเลี้ยงชีวิตร่างกายของเราแทนอวิชชา  ชีวิตของเราก็จะโปร่งโล่ง  เป็นอิสระไร้ทุกข์  แต่คนเราทุกคนมีศักยภาพที่จะฝึกฝนตนเองได้  ฝึกเป็นอะไรก็ได้  ถ้าไม่ฝึก  คนเราก็เลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้

           ถ้าคนเราได้เรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว  ก็จะรู้ว่า  ตัวเราต้องฝึกฝนตนเองให้หนีทุกข์ ไปหาสุขถาวร  ถ้าเราไม่รู้พระธรรมคำสอนของศาสดาเอกของโลก  คือ พระพุทธเจ้า  โอกาสที่จะฝึกฝนตนเองไม่มีเลย  เพราะอวิชชาควบคุมตัวท่านอยู่  คนเราสั่งตนเองไม่ได้

           ฉะนั้น  การท่องไม่เที่ยงเกิดดับนั้น  คือการปฏิบัติตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้  ดับอวิชชาได้ถาวร

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

อวิชชา(1)

29 ก.ย. 2566

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้