ให้ธรรมเป็นผู้กำกับชีวิตเรา

Last updated: 26 ธ.ค. 2566  |  519 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ให้ธรรมเป็นผู้กำกับชีวิตเรา

       ถ้ามีพระธรรม  เป็นความจริงในใจของเรามาก  เราก็จะเห็นความจริงที่แท้จริง  ว่ามันเป็นความจริง  ฉะนั้นการมาฟังธรรมเป็นประจำ  การนำพระธรรมคำสอนไปปฏิบัติเป็นประจำ  ก็เพื่อต้องการให้มันมีความจริงในใจเรามาก ๆ  ถ้ามีมากเราก็เห็นความจริง  รู้ความจริง  ไปที่ไหนก็เป็นความจริงหมด  ลองคิดดูนะ สิ่งที่มีอยู่ภายนอกใจของเราเป็นจริงหมด  มันมากหลายอย่างนี้ทำไมตาเราไม่เห็น  หูเราไม่ได้ยินทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

       ก็เพราะตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ เรานั้น  มันถูกควบคุมด้วยความเชื่อ  มีตาก็ไม่เห็น  มีหูก็ไม่ได้ยินความจริง  มีจมูกก็ไม่ได้กลิ่นความจริง  มีลิ้นก็ไม่ได้รสความจริง  มันเป็นอย่างนี้  ฉะนั้นการศึกษาธรรมะ  การหมั่นมาฟังธรรม  มันเป็นความจำเป็นของชีวิตท่าน คือ จำเป็นอย่างไร  เพราะเราต้องเอาธรรมะ  คือ ปัญญาไปแก้ปัญหาชีวิต  ถ้าเราไม่มีความจริงของพระพุทธเจ้า  เราจะแก้ปัญหาชีวิตเราไม่ได้สักคนนะจะบอกให้

       ถ้าแก้ได้ก็แค่แก้จากที่ผิดไปสู่ที่ผิด  จะแก้ไขให้ความผิดกลายเป็นความถูกต้องนี่ทำไม่ได้  แต่หลายคนอาจจะบอกว่า  ผมแก้ได้นะทุกวันนี้  มันแก้ไขได้แค่ถูกใจเท่านั้นนะ  แก้จากที่ผิดใจไปสู่ความถูกใจเท่านั้น  แต่ถ้าให้ถูกต้องนี่เราไม่เคยทำได้เลยนะ  แก้จากที่ผิดใจไปสู่ความถูกใจเท่านั้น  แต่แก้ให้ถูกต้องนี่เราไม่เคยทำได้เลยนะ  เพราะไม่มีข้อมูลให้ท่านไปถึง  ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะไม่ได้เก็บข้อมูลนั้นไว้ในใจ

       อันนี้จะขอโยงใยให้เห็นว่า  ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้แล้ว  เราก็ไม่มีความรู้ธรรมะอยู่ในใจเรา  เราจะขยับตัวไปที่ไหนไม่ได้  เพราะรอบตัวเราเป็นธรรมชาติหรือความจริงทั้งหมด  แล้วความจริงทั้งหมดนี้  พระพุทธเจ้าว่านิพพาน  คือ  ความจริงที่แท้จริง  คือ  ไตรลักษณ์  อิทัปปัจยตาฯ  นี่คือ  นิพพาน  เรียกว่า  ปรมัตถ์ธรรม  ใครจะเชื่อไม่เชื่อมันเป็นของมันอย่างนั้น  เพราะฉะนั้นเราไปที่ไหน เราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความจริง  มันเป็นความสุขหมดเลย ไม่มีทุกข์เลยนะ

       เพราะฉะนั้นคำถามที่ถามว่า  มาเรียนธรรมะ  แล้วมันสร้างสุขดับทุกข์ได้อย่างไร  ก็มันสร้างสุขดับทุกข์ได้อย่างนี้ คือ  เราเห็นความจริงของตัวเองว่ามันหนุ่ม  แก่ตาย  เห็นคนอื่นก็เห็นความจริง ว่าคนอื่นก็หนุ่ม  แก่ตาย  แล้วมันจะไปมีืุกข์ที่ไหน  เพราะทุกข์ หรือสุขของคนเรา  เกิดที่ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ถ้าตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  เราตามสิ่งที่มากระทบสัมผัสทันอย่างนี้ตลอดเวลา  มันไม่มีทุกข์เหลืออยู่ในใจเราเลยนะ  อันนี้เป็นความจริงที่เราต้องรู้ให้ได้

       ถ้ามีความจริง  มีธรรมะอยู่ในใจล่ะก็สุขหมด  เพราะมันมีแต่ความจริงทั้งหมด  ไม่น่าเชื่อนะ  ความเชื่อมีอยู่ในใจของเราเท่านั้น  ข้างนอกเป็นความจริงทั้งหมด  ก็หมายความว่า  ความเชื่อมันมีอินทธิพลมากหลายเลย  ใจคนเราขนาดเท่ากำปั้น  มันสามารถเอาชนะโลกจักรวาลนี้ได้  โลกจักรวาลนี้เป็นความสุขหมด  มันใหญ่โตขนาดไหนล่ะ  แต่ใจเราแต่ละคนก็เท่ากำปั้นแต่ละคนเท่านั้น  แล้วทำไมมันเอาชนะโลกจักรวาลนี้ได้  ไม่น่าเชื่อนะ  เห็นไหมล่ะอินทธิพลของมันไม่ใช่ธรรมดานะความเชื่อ  ความเชื่อควบคุมมนุษย์ได้เกือบทุกคน  ยกเว้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์  ที่มันควบคุมไม่ได้  ไม่น่าเชื่อนะ  เพราะนี่คือนามธรรม

       แล้วเราจะทำอย่างไร  ถ้าเราต้องการควบคุมโลกจักรวาลนี้ให้เป็นสุขได้  เราต้องเปลี่ยนความเชื่อเป็นความจริงให้ได้  ถ้าเราใส่ความจริงเพียงแค่ให้เต็มในใจเรา  โลกจักรวาลนี่เป็นของเราเลย  แตาในใจเรานั้นมันเป็นนามธรรม  ถ้าเราใส่เต็มวันไหน  โลกจักรวาลเป็นของเรา  เพราะเราไปที่ไหนก็เป็นของเราหมด  มันก็ใหม่  เก่าแตกสลาย  หนุ่ม  แก่  ตาย  เดินไปไหนก็ยิ้ม  ยิ้มเพราะเจอความสุขไง ไม่ใช่ยิ้มเพราะไปเจอความทุกข์  ไปที่ไหนก็พบความสุขหมด มันไม่มีทุกข์ที่ไหนเลย  ถ้าเราใส่ข้อมูลความจริงไม่เที่ยงเกิดดับ ลงในใจของตัวเองได้

       เพราะฉะนั้นคำตอบว่า  ต้องท่องขนาดไหน ก็ท่องแค่ให้เต็มใจเท่านั้น  ไม่เชื่อลองไม่ท่อง  มันเต็มไหม  แค่ใจขนาดเท่ากำมือเดียวนี้  ท่องอย่างไรให้เต็ม  คือ  ท่องไม่หยุดเลย  คือเต็มเลย  เพราะมันไม่มีอะไรออกมาได้  ความเชื่อเข้าไม่ได้  เพราะความจริงมีอยู่เต็มเลย  นี่คือสิ่งที่เราต้องรู้  ฉะนั้นการมาฟังธรรมนั้นมีอานิสงส์มากอย่างนี้นะ  เพราะเราสอนตัวเราเองไม่ได้  ถ้าคนอื่นสอนตัวเราไม่ได้ก็จบเลยนะ  ก็ถึงวิบัติของชีวิตเลย  ตัวเองสอนตัวเองก็ไม่ได้  คนอื่นสอนตัวเองก็ไม่ได้  มันก็เหมือนก้อนหินบนดอยนั่นแหละ คือ  ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องเลย

       เพราะฉะนั้นการที่เราเสียสละเวลาและโอกาสของเรามาศึกษาเรียนรู้อย่างนี้  ก็เพื่อที่จะมาเปลี่ยนชีวิตเรา  ให้เข้ากับโลกจักรวาลนี้ได้  คือ  ทุกวันนี้เราไปแปลกแยกจากโลกและจักรวาล  แปลกแยกนะ  ไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน  ถ้าตัวเรากับโลกจักรวาลที่เราไปเกี่ยวข้องเป็นอันเดียวกันสุขเลย  ถ้าแปลกแยกกันก็ขัดแย้งกันอย่างนี้  โลกจักรวาลมันเหมือนกัน คือ  มีความไม่เที่ยง  เกิดดับ  ใหม่  เก่า  แตกสลาย  หนุ่ม  แก่  ตาย  นี่คือลักษณะของโลกจักรวาล  ตัวเราก็มีหนุ่ม  แก่  ตาย

       ฉะนั้นทุกชีวิตในโลกจักรวาลนี้  หนุ่ม  แก่  ตาย  ทั้งหมด  คือมีเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไป  ตามกฎของไตรลักษณ์  ถ้าเกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วแล้วแตกสลาย  นี่คือกฎอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท  สรุปคือ  ไม่เที่ยง  เกิดดับ  ถ้าเราพัฒนาตัวเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับโลกจักรวาล  คือธรรมชาติ  แล้วเราจะพัฒนาตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้อย่างไร  เราต้องดูว่าตัวเรา มันไม่มีธรรมชาติอยู่ตรงไหน  ก็อยู่ตรงที่ข้อมูลสัญญาความจำ  เท่ากับใจขนาดเท่ากำปั้นนี่ล่ะ  นอกนั้นเป็นธรรมชาติทั้งปวง

       เพราะฉะนั้นเราเปลี่ยนข้อมูลแค่กำปั้นเดียวนี่ล่ะ  ไม่เชื่อลองคิดตามดูนะ  ตัวเราก็เป็นธรรมชาติ  หนุ่ม  แก่  ตาย  เหมือนกัน  ศาลานี้ที่มีความใหม่  เก่า  แตกสลาย  นี่คือธรรมชาติ  แต่ทำไมข้อมูลในใจเรา  ทำไมมันไม่ตาย  ไม่แตกสลายสักที  ก็เพราะมันเป็นความเชื่อ  เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาตัวเราให้ถึงความจริงให้ได้  ความจริงคือ  การข้ามความเชื่อ  เพราะเรามันมีอุปสรรคในการพัฒนาตัวเองที่ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ

       ทำไมตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  เป็นอุปสรรค  ก็เพราะข้อมูลสัญญาความจำมันควบคุมไว้ก่อนแล้ว  หมายความว่า  ความเชื่อมันควบคุม  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  เราหมดแล้ว  ฉะนั้นเราจะทำอย่างไร  เราก็ต้องปฏิวัติความเชื่อ  เอาความจริงไปใส่แทน  ถ้าเราเอาความจริงไปใส่แทนได้ก็สำเร็จ

       เพราะฉะนั้นมีคนปฏิวัติสำเร็จแล้วก็คือ  พระพุทธเจ้า  และพระอรหันต์นี่เป็นตัวอย่าง  เพราะถ้าเรามาศึกษาเรียนรู้ธรรมเนือง ๆ  เรามีตัวอย่าง  คือ  พระพุทธเจ้า  และพระอรหันต์  ที่ท่านทำเป็นตัวอย่างว่าท่านทำได้สำเร็จแล้ว  ไม่ยาก  ขอให้มีความเพียรพยายาม

       เพราะความเพียรพยายามเป็นเรื่องสำคัญของศาสนาพุทธ  แล้วการกระทำด้วยความเพียรพยายาม ต้องไม่ใช่พยายามเฉย ๆ  โดยไม่รู้ว่าทำอะไร  คือ  พยายามที่จะให้เรากับธรรมชาติภายนอกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วตัวเรากับธรรมชาติภายนอกนี่มันมีอะไรที่เหมือนกัน  มันมีอะไรที่ยังไม่สามารถเชื่อมกันได้  ก็เพราะมีข้อมูลในใจเราเท่านั้น  นอกนั้นเชื่อมกันหมด  มีข้อมูลอย่างเดียวที่เชื่อมกันไม่ติด

       การจะเปลี่ยนข้อมูลได้  คือ  ท่องไม่เที่ยงเกิดดับไปจนเรามีธรรมไม่เที่ยงเกิดดับเพียงพอ แล้วนี่  ความจริงธรรมชาติภายนอก  มันจะเชื่อมต่อความจริงในใจเราได้ทันทีนะ  ถ้ามันเชื่อมกันได้ล่ะก็  ความเชื่อมันจะเตลิดเปิดเปิงไม่มีเหลืออยู่เลย  เพราะมันก็เปลี่ยนการควบคุมตัวเราใหม่  อย่างพระอรหันต์  พระพุทธเจ้าท่านมีความจริงควบคุมตัวท่านตลอด  ท่านก็ไปไหนท่านก็  นั่งก็สุข  นอนก็สุข  ทำอย่างไรสุขหมด  เราอยากเป็นสุขอย่างท่าน  ก็ฝึกฝนพัฒนาตนเองให้มีธรรมสูงขึ้น เป็นอุบาสก อุบาสิกา  ที่เป็นอริยบุคคลที่สมบูรณ์ให้ได้

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้