Last updated: 1 ก.พ. 2564 | 771 จำนวนผู้เข้าชม |
การจะปฏิบัติธรรมให้ถูกทางได้นั้นก็มีลักษณะเดียวกับการกระทำใด ๆ ของเราในทางโลกที่จะทำถูกได้นั้นต้องมีการศึกษาเรียนรู้สิ่งที่เราจะไปทำนั้นให้รู้และเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ ให้ดีก่อน การกระทำของเราในสิ่งนั้นจึงจะถูกต้องครบถ้วน มีผลสำเร็จเกิดขึ้นตามที่เราได้ตั้งใจไว้ มีเพียงความตั้งใจเฉย ๆ ไม่มีความรู้ประกอบแล้ว การกระทำของเราไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเป็นการหลับตากระทำ หรือทำโดยความไม่รู้
การปฏิบัติธรรมนั้น ทางที่ถูกต้องและมีผลสำเร็จเกิดขึ้นตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ คือดับทุกข์ได้ให้กับตัวเองนั้น ต้องศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกให้จบหลาย ๆ รอบ จนเข้าใจในพระธรรมคำสอนนั้นพอสมควร คือเข้าใจพระธรรมคำสอนว่าพระธรรมส่วนใด เป็นผลของการตรัสรู้ พระธรรมส่วนใดเป็นเหตุของการตรัสรู้ พระธรรมคำสอนแต่ละสูตรนั้น พระพุทธเจ้าตรัสสอนผู้ใด สอนพระอริยบุคคล หรือสอนบุคคลปุถุชนทั่วไป ตรัสสอนเป็นคำย่อสรุป หรือเป็นคำเต็ม ถ้าเป็นคำย่อแล้ว คำเต็มว่าอย่างไร ต้องรู้และเข้าใจพระธรรมคำสอนในระดับนี้ จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง มีผลการปฏิบัติที่ถูกต้องเกิดขึ้นกับตัวผู้ปฏิบัติ
ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนดังที่กล่าวมาแล้ว การปฏิบัติของเขาก็ไม่ถูกทาง พาตัวเองหลงเข้าไปในคำสอนของพราหมณ์ ไปหลบทุกข์อยู่ที่ความสงบหรือสมาธิ ซึ่งเป็นผลร้ายต่อผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะไม่สามารถแก้ไขตนเองกลับมาปฏิบัติในทางที่ถูกต้องดับทุกข์ได้ เพราะถ้าหลงทางเข้าไปในสมาธิ โดยที่ตัวเองยังไม่มีปัญญาประกอบในการทำสมาธินั้น การกระทำอย่างนั้นเรียกว่าไปผิดทางหรือมิจฉาทิฐิ เสียเวลาชีวิตของตนเองอีกชาติหนึ่ง คนเราเกิดมาแต่ละชาตินั้นตั้งใจมาทำให้ตนเองพบสุขถาวร หรือนิพพาน แต่พาตนเองไปหลงทางเสียก่อน จึงไม่มีเวลาพอจะพาตนเองย้อนกลับมาเดินทางที่ถูกต้องได้ ซึ่งเราจะเห็นว่าบางคนไปหลงทำสมาธิจนแก่ เวลาที่เหลือจึงมีไม่พอที่จะพาตัวเองมาตั้งต้นวิปัสสนาดับทุกข์ในชาตินี้ได้ ในที่สุดตัวเองก็จะเข้าไปติดตาข่ายของพญามาร เวียนว่ายตายเกิดต่อไป อีกนับชาติไม่ถ้วน มองให้ดี ๆ จะเห็นว่าถ้าหลงผิดอย่างนี้แล้ว ทำความเสียหายให้กับชีวิตของเราอย่างมากมายหาที่สุดไม่ได้
ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นั้นง่ายมาก เพราะถ้าจับหลักคำสอนที่เป็นเหตุของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ตรัสบอกชาวโลกว่า เป็นทางสายเอกสายเดียวที่ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ เพราะพระพุทธเจ้า เป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดหาบุคคลใดเสมอเหมือนไม่ได้ จึงสอนสิ่งที่ยากที่สุดให้ง่ายที่สุดได้ สรุปพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่านทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ ให้นำไปสู่การปฏิบัติเหลือเพียงกำมือเดียวเท่านั้น ปฏิบัติแล้วได้ผลภายใน 7 วัน 7 เดือน 7 ปี อย่างช้า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ พระธรรมคำสอนนั้นก็คือการวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 ให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตัวเราในขณะปัจจุบันตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ มีเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง การปฏิบัติต้องรู้และเข้าใจกฎธรรมชาติ 2 กฎ กฎที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ คือ กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และกฎของเหตุปัจจัย อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท สรุปได้ว่า สิ่งทั้งปวงรวมทั้งตัวของเราไม่เที่ยงเกิดดับ แล้วเอาความจริง 2 กฎธรรมชาติที่สรุปแล้วว่า ไม่เที่ยง เกิด ดับ ไปฝึกวิปัสสนาเพื่อเจริญปัญญาแล้วเอาปัญญาที่ได้นี้ไปดับทุกข์ในขณะปัจจุบันที่ถูกกระทบสัมผัสในทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
วิธีฝึกฝนตนเองในการวิปัสสนาภาวนา เริ่มต้นตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา แล้วให้ฝึกให้รู้เห็นความจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งตัวของเรานี้เกิดดับ คือ ให้เห็นว่าตัวเราไม่เที่ยงเกิดดับ สิ่งที่มากระทบตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ (ไม่เที่ยงเกิดดับนี้ก็คือความจริงของโลกและชีวิต หรือกฎธรรมชาติ 2 กฎ ดังกล่าวไว้ข้างต้น นั้นแหล่ะ) จากนั้น ตาไปกระทบรูป หรือเห็นอะไรเมื่อตื่นนอนขึ้นมา ให้พิจารณาตามความจริงของกฎธรรมชาติ 2 กฎ นั้นทันทีว่า รูปที่เห็นนั้นไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เสียงกระทบหู ก็พิจารณาทันทีว่า เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ จมูกได้กลิ่น กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ลิ้นกระทบรส รสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ กายกระทบสัมผัส ก็พิจารณาว่าสิ่งที่มากระทบกาย ไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ไปจนถึง ใจคิดนึกอะไร ก็พิจารณาว่า ความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ
พิจารณาอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ควบคู่กันไปกับการดำเนินชีวิตไม่ว่าเราจะทำอะไรในชีวิตประจำวันก็ให้พิจารณาอย่างนี้เมื่อถูกกระทบสัมผัส จนกว่าเราจะหลับไป ห้ามนั่งจดจ้องหรือกำหนดจิตตามดูสิ่งที่มากระทบ ให้ปฏิบัติตามปกติในชีวิตประจำวัน ถูกกระทบค่อยพิจารณาไม่ถูกกระทบก็ไม่พิจารณา ปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าเจริญปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างมหาศาล เพราะถ้าเราเอาความจริงมาตั้งไว้แล้ว ความเชื่อที่เป็นความพอใจไม่พอใจ และความหลงก็ดับทันทีไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในขณะที่ถูกกระทบสัมผัส เมื่อเรายึดเอาความจริงของกฎธรรมชาติ 2 กฎ มาตั้งไว้ใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนี้เรียกว่าเอาสัมมาทิฐิมาตั้งเป็นฐานรับการถูกกระทบสัมผัส เมื่อมีฐานที่เป็นความเห็นถูกหรือสัมมาทิฐิตั้งอย่างนี้ ความคิดถูกหรือดำริชอบ สัมมาสังกัปปะ เกิดขึ้นตามมาต่อไป องค์ธรรมของมรรคมีองค์ 8 ก็เกิดขึ้นครบถ้วน คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ เมื่อมรรคมีองค์ 8 เกิดขึ้นแล้ว องค์ธรรมอื่น ๆ เช่น สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 เกิดขึ้นครบ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการนี้ คือองค์ธรรมของการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เมื่อผู้ปฏิบัติฝึกฝนตนเองจนมีองค์ธรรมนี้ครบถ้วนก็จะมีปัญญาดับทุกข์ได้ในชาตินี้ องค์ธรรมนี้จะเกิดจากการวิปัสสนาภาวนาพิจารณา ขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น นี่คือพระธรรมที่เป็นเหตุของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และที่พระองค์นำไปสั่งสอนชาวโลกไปปฏิบัติ เมื่อชาวโลกได้นำไปปฏิบัติแล้วได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเรียกว่าพระอรหันต์อัครสาวก พระพุทธเจ้าตรัสว่าทางนี้คือทางสายเอกสายเดียวที่ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้ในชาตินี้ ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีก
บางคนอ่านพระไตรปิฎกแล้วไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนว่า พระธรรมสูตรนั้นเป็นเหตุหรือเป็นผลของการตรัสรู้ และพระองค์ตรัสสอนใคร อริยบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ซึ่งมีบางสูตรพระองค์ท่านตรัสสอนว่า ดูกรภิกษุ ถ้าพวกเธอทำสมาธิให้ได้ฌาน 4 และเอาฌาน 4 ไปพิจารณา อาสวักขยญาณ หรือญานแห่งความหลุดพ้นแล้วพวกเธอสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ อย่างนี้ ถ้าดูให้ดี ๆ จะเห็นว่าท่านตรัสว่า “ดูกรภิกษุ” นั้นหมายถึงพระองค์ท่านสอนพระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบัน บุคคลขึ้นไป “พระโสดาบันบุคคลขึ้นไปนั้นทำสมาธิได้” เพราะมีปัญญาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หรือมีสัมมาทิฐิแล้ว เมื่อไปทำสมาธิ สมาธินั้นก็จะเป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้าพวกเราปุถุชนคนธรรมดา เอาไปทำก็จะเป็นมิจฉาสมาธิทันที เพราะเรายังไม่มีปัญญาประกอบ สมาธิอย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติผิดคำสอน คำสอนอย่างนี้พระองค์ท่านสอนอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปให้เอาไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน นั้นเร็วขึ้น ไม่ใช่สอนพวกเราปุถุชนคนธรรมดาพูดง่าย ๆ ว่าเราเรียนอยู่ชั้น ป.4 แล้วเอาหลักสูตร ม.6 มาเรียน เรียนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็ปฏิบัติหรือทำผิดคำสอนแน่นอนฉันใดฉันนั้น
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมให้ถูกทางนั้นจะต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างดีก่อน อย่างที่กล่าวว่าไว้ข้างต้นว่า คำสอนใดเป็นเหตุหรือผลการตรัสรู้ สอนผู้ใด คำย่อ หรือคำเต็ม ต้องเข้าใจถึงขนาดนี้ จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรมถูกธรรม มีผลออกมามีปัญญาดับทุกข์ได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้ การปฏิบัติจะผิดธรรมทันที คือไปเอาพระธรรมคำสอนในส่วนที่เป็นผลของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนไว้ให้กับอริยบุคคล ตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไปมาปฏิบัติ อย่างที่เห็นสำนักวิปัสสนาภาวนาทั้งหลายทั้งในวัดและนอกวัด เอามหาสติปัฏฐานสูตร หรือเอาสติปัฏฐาน 4 พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ไปปฏิบัติวิปัสสนา โดยฝึกจิตกำหนดให้สติติดตามอิริยาบถ หรือความเคลื่อนไหวของกาย เช่น นั่งหนอ ยกหนอ เดินหนอ ก้าวหนอ ยุบหนอ พองหนอ และเอาสติไปกำกับลมหายใจ เข้า-ออก ฯลฯ อย่างนี้ถือว่าเป็นการวิปัสสนาตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎก สูตรนี้เป็นหลักสูตรของอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ไม่ใช่สำหรับปุถุชนทั่วไป เพราะอริยบุคคลมีปัญญาหรือสัมมาทิฐิอยู่แล้วปฏิบัติอย่างนี้ได้ เพราะจะทำให้เกิดสัมมาสมาธิ แต่ถ้าบุคคลธรรมดาเอาไปปฏิบัติก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างผิดธรรม มีผลออกมาเป็นสมาธิหรือมิจฉาสมาธิเท่านั้น ไม่มีปัญญาเกิดขึ้น นั่นคือผู้ปฏิบัติผิดทางอย่างนี้เป็นการบำเพ็ญความพอใจ และไม่พอใจ หรือโลภ โกรธ หลง ให้กับตนเองโดยไม่รู้ตัว ถ้าพูดโดยไม่เกรงใจกันแล้วก็บอกให้ว่าผู้ปฏิบัติ ผิดอย่างนี้ บำเพ็ญตัวเองไปสู่นรกอเวจี ด้วยความพอใจ เพราะผลจะตรงกับเหตุเสมอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มิจฉาทิฐิเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในนรกหรือเดียรัจฉานทางใดทางหนึ่งเหมือนจับไปวางไว้
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมถูกทางนี้สำคัญต่อชีวิตของเรามาก ผิดพลาดไม่ได้ ถ้าผิดพลาดหลงไปปฏิบัติสมาธิแล้ว โอกาสที่จะกลับมาวิปัสสนาภาวนาตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้นไม่มีโอกาสอีกเลยในชีวิตนี้ ขอให้ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจงตระหนักเรื่องนี้ให้มาก ถ้าหากท่านหลงทางไปติดที่สมาธิแล้ว พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่จะปลดท่านออกจากสมาธิได้ ขณะนี้พระพุทธเจ้าไปปรินิพพานไปนานแล้ว จึงไม่มีผู้ใดช่วยท่านออกมาจากสมาธิได้ ท่านก็จะไปติดตาข่ายของพญามารอยู่ที่ความสงบตลอดไป เสียเวลาชีวิตไปอีกชาติหนึ่ง ชาตินี้จึงเสียโอกาสอันดีที่ท่านได้เกิดมาเป็นคนเพื่อหนีทุกข์ไปหาสุขถาวรให้ให้กับตัวเอง ได้แต่เพียงหลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น
สรุปการปฏิบัติธรรมที่ถูกทางได้นั้น ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจพระธรรมคำสอนอย่างถ่องแท้ สามารถแยกแยะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่า พระธรรมอันใดเป็นผลของการตรัสรู้ และพระธรรมอันใดเป็นเหตุของการตรัสรู้ พระธรรมสูตรนั้น ๆ พระองค์ท่านตรัสสอนผู้ใด สอนอริยบุคคล หรือสอนบุคคลธรรมดาทั่วไป ตรัสสอนเป็นคำย่อสรุป หรือเป็นคำเต็มถ้าเป็นคำย่อสรุปแล้ว คำเต็มว่าอย่างไร ต้องรู้และเข้าใจพระธรรมคำสอนในระดับนี้ จึงจะนำพระธรรมคำสอนนั้นมาปฏิบัติถูกทางแล้วพบความสำเร็จในชีวิต คือมีปัญญาดับทุกข์ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติไปจนถึงดับทุกข์ถาวรได้ ตามความเป็นจริงแล้ว คนเราเกิด มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ “ดับทุกข์” กับ “หลบทุกข์” ถ้าเราไม่ปฏิบัติดับทุกข์ให้กับตัวเองแล้วเราก็ปฏิบัติหลบทุกข์ให้กับตัวเองทันที บุคคลที่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องและเข้าใจจะเลือกทางดับทุกข์ถาวรให้กับตัวเอง ส่วนบุคคลที่ไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะเลือกทางหลบทุกข์ชั่วคราวให้กับตัวเองถาวรไปตลอดชีวิต เช่น ไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจก็หลบทุกข์ ไปดูหนัง ฟังเพลง กินเหล้า ยาเสพติด ก็จะหลบทุกข์ชั่วคราว ไปนั่งทำสมาธิก็หลบทุกข์ชั่วคราว กลับมาบ้านแล้วก็ทุกข์อย่างเดิม ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ท่านตรวจสอบตัวของท่านเองดูว่าตัวของท่านเลือกทางไหน ถ้าเลือกทางผิดก็เสียเวลาชีวิตไปชาติหนึ่ง ถ้าเลือกทางถูกก็เป็นสิริมงคลอันยิ่งใหญ่แก่ตัวท่านเอง
30 ก.ย. 2562
30 ก.ย. 2562
30 ก.ย. 2562
30 ก.ย. 2562