ความพอดีของคนเราอยู่ตรงไหน

Last updated: 13 ต.ค. 2562  |  620 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ความพอดีของคนเราอยู่ตรงไหน

       คนเราทุกคนเกิดมาต้องดิ้นรนเสาะแสวงหาความพอดีให้กับตัวเองตลอดเวลา  แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในแต่ละชีวิต  ขาดไปบ้าง เกินไปบ้าง พยายามเสาะแสวงหาไปตลอดชีวิต  และก็ไม่มีใครพบความพอดีให้กับตนเองได้ง่าย ๆ  หรือไม่เคยพบเคยเห็นเคยรู้มาก่อนตลอดชีวิตของตนเองว่าความพอดีของตนเองที่ตนเองต้องการนั้นมันอยู่ที่ไหน  บางครั้งก็พบอยู่บ้างแต่ก็เป็นความพอดีชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น  ไม่จีรังยั่งยืนตามที่คนเราต้องการและก็ไม่เข้าใจว่าความพอดีที่เราได้มาชั่วคราวนั้น  จริง ๆ แล้วมันใช่ความพอดีที่ชีวิตต้องการหรือไม่  แต่ละคนที่เกิดมาก็พยายามเสาะแสวงหามันต่อไป  บางครั้งชีวิตในชาตินี้ไม่พอที่จะแสวงหาความพอดีให้พบได้  เพราะแต่ละคนก็ใช้วิธีการของแต่ละคนเสาะแสวงหาความพอดีให้กับตนเองแตกต่างกันไป  แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบได้  ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนเราเกิดมาไม่มีความรู้เพียงพอที่จะไปแสวงหาความพอดีให้กับตนเอง  แม้กระทั่งความรู้เกี่ยวกับตัวของตัวเอง  คนเรายังไม่รู้จัก  ซึ่งอยู่กับตัวเรานี่แหล่ะ  ใกล้ชิดติดกันอย่างนี้ยังไม่รู้จักแล้วจะไปรู้จักสิ่งอื่น ๆ นั้นไกลเกินไป  สิ่งที่ใกล้ ๆ นี้ยังไม่เข้าใจ  แล้วสิ่งที่อยู่ไกลจะรู้จักให้ดีได้อย่างไร

       เพื่อจะได้มีความเข้าใจถูกต้องในเบื้องต้น จึงต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองก่อนว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร   คนเราเกิดเพื่อจะหนีทุกข์ไปหาสุขกันทุกคน  สุขนั้นก็ต้องการสุขที่ถาวรตลอดไป  สุขชั่วคราวไม่มีผู้ใดต้องการ  สุขถาวรที่ทุกคนต้องการแปลเป็นภาษาธรรมเรียกว่า “นิพพาน”  คนทุกคนที่เกิดมามีความ  ต้องการสุขถาวร หรือนิพพานกันทุกคน  ฉะนั้นเป้าหมายของชีวิตคนเราทุกคนคือ “นิพพาน”

       แล้วก็ชีวิตคืออะไร  ชีวิตของคนเราคือการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตนเอง  คนเราทุกคนเกิดมาไม่ได้อะไรมาฟรี ๆ  ต้องศึกษาเรียนรู้เอาทั้งหมด  ถ้าไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ก็ไม่ได้อะไรเลย  และชีวิตของคนเราต้องมาฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก  ถ้าไม่ฝึกแล้วเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วคนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ไหน  มีเครื่องมืออะไรที่ธรรมชาติให้มาฝึกฝนตนเองบ้าง  คนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียก “อินทรีย์ 6”  อินทรีย์ นี้แหละ  ที่ธรรมชาติให้มาเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนตนเอง  คนเราจะดีหรือเลวอยู่ที่การใช้อินทรีย์ 6  นี้แหละ  ถ้าใช้อินทรีย์ 6  ไปในทางรับความรู้สึกอย่างเดียวชีวิตก็จะมีแต่ปัญหา  แต่ถ้าใช้อินทรีย์ 6  ในทางการศึกษาเรียนรู้ ชีวิตของคน ๆ นั้นก็จะมีปัญหาน้อย  พบแต่ความสุข

       เมื่อเรารู้จักตัวเองดีแล้ว  เราก็จะรู้จักใช้เครื่องมือฝึกฝนตนเองที่ธรรมชาติให้มา  ต่อไปเราจะพบความพอดีของชีวิตของเราได้อย่างไร  และมีผู้ใดที่รู้เรื่องราวของโลกและชีวิตดีที่สุด  บุคคลที่รู้เรื่องราวของชีวิตดีที่สุดในโลกก็คือ  พระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก  เป็นผู้รู้แจ้งโลกและชีวิต  หาผู้ใดเสมอเหมือนไม่ได้  ในโลกนี้หรือโลกไหน ๆ  พระองค์ได้ตรัสสั่งสอนมนุษย์และเทวดาอยู่ถึง 45 พรรษา  คำสอนของพระองค์มีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์  คำสอนของพระองค์ท่านทั้งหมด  พระองค์ท่านสรุปไว้ว่า  พระองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์เท่านั้น  คำสอนของพระองค์ท่านขณะนี้ได้จารึกไว้ในพระไตรปิฎกจำนวน 45 เล่ม  ถ้ามนุษย์ทุกคนต้องการความพอดีของชีวิตตนเองว่าอยู่ตรงไหน  ต้องศึกษาเรียนรู้จากพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน ที่สอนให้ไว้ในพระไตรปิฎกให้จบหลาย ๆ  รอบแล้วท่านจะรู้เห็นความจริงของโลกและชีวิตของท่าน  แล้วก็จะหาพบความพอดีของชีวิตท่านได้

       พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าที่สุดโต่งของมนุษย์มี  2 ด้าน 

สุดโต่งด้วนที่ 1  คือ ความพอใจ (กามสุขัลลิกานุโยค)

และที่สุดโต่งอีกด้านหนึ่ง ก็คือ ความไม่พอใจ (อัตตกิลมถานุโยค)  

       มนุษย์ส่วนมากจะไปตกอยู่ในที่สุด 2 ด้านนี้ตลอดเวลา  

ความพอใจ ก็คือความโลภ   

ความไม่พอใจ ก็คือความโกรธ 

ตามความพอใจ ไม่พอใจไม่ทัน เรียกว่าความหลง 

      ชีวิตของคนเราจึงไปหลงพอใจไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา  จึงไม่มีโอกาสพบความดีของชีวิต 

      ความพอดีของชีวิตก็คือ หลักสายกลางหรือหลักความจริง ไม่ไปเกี่ยวข้องกับความพอใจ ไม่พอใจ  โดยรู้เท่ากันความจริงของโลกและชีวิตคือ  กฎธรรมชาติ 2 กฎ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้  อันได้แก่ กฎไตรลักษณ์  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป  และกฎของเหตุปัจจัยหรือ  อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท  ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอย ๆ หรือบังเอิญมีเหตุปัจจัยให้เกิดเสมอ

       เมื่อคนเราฝึกฝนตนเองให้รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว  ก็จะรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเราหรืออินทรีย์ 6  ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า  สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง  เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง  

       เมื่อรู้อย่างนี้แล้วตัวของเราก็ไม่ไปหลงพอใจและไม่พอใจ  ต่อสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเรา  สัมมาทิฐิหรือปัญญาก็เกิดขึ้นทันทีแล้วองค์ธรรมของมรรคมีองค์ 8  เกิดขึ้นตามมาคือ  สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ นี้คือ  หลักความจริงหรือหลักสายกลาง  หรือหลักของความดี  “ความพอดีของชีวิตคนเราอยู่ตรงนี้”  ความพอดีของชีวิตคนเราอยู่ตรงที่คนเรารู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัส ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย ใจ  ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตเราจึงไม่ไปสุดโต่งทั้ง 2 ด้าน คือ  ด้านความพอใจ  และไม่พอใจ

       วิธีปฏิบัติตนเองให้เขาถึงความพอดีของชีวิต  ก็เอาหลักทางสายเอกที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้  คือหลักวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ 5 อินทรีย์ 6  ให้รู้ให้เห็นสิ่งทั้งปวงว่าไม่เที่ยงเกิดดับ  เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว  แล้วแตกสลาย  ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง  

       การปฏิบัติให้ถึงความพอดีของชีวิตคือ  เริ่มตื่นนอนขึ้นมาให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งตัวของเรา ไม่เที่ยงเกิดดับ  ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง  เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้นแล้วก็แตกสลายไป  ต่อไป  ตาเห็นรูปอะไร  ให้พิจารณาว่ารูปไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  หูได้ยินเสียง  ให้พิจารณาว่าเสียงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  จมูกได้กลิ่น  ให้พิจารณาว่ากลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ลิ้นกระทบรส  ให้พิจารณาว่ารสไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  กายกระทบสัมผัส  ให้พิจารณาว่าสิ่งที่มากระทบสัมผัสไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ใจนึกคิดขึ้นมา  ให้พิจารณาว่าความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ให้พิจารณาให้เห็นความจริง  ทั้ง 2 ด้านอย่างนี้ตลอดเวลา   

       เวลาออกจากบ้านไปทำงานให้พิจารณาอย่างนี้  มองดูบ้านของตัวเองให้เห็นความจริงว่า บ้านฉันใหม่แล้วเก่าแล้ว จะแต้องแตกสลายในที่สุด  ตัวของเราก็หนุ่มแก่แล้วตาย  เห็นผู้คนทั้งหลายก็เกิดดับแตกสลายเช่นกัน  ปฏิบัติอย่างนี้ทุกวัน  ความพอใจหรือไม่พอใจหรือ  โลภะ  โทสะ  โมหะ  ก็จะลดลงไปทุกวัน  ความจริงที่เรียกว่า ปัญญา  ก็จะเข้ามาแทนที่ในใจของเรา  เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสตัวของเราทางอินทรีย์ 6   สติก็จะดึงปัญญาออกมารับปัญหาก็จะถูกแก้ไขไปในทางที่ถูกต้องทุกครั้ง  ปัญหาของชีวิตก็ลดน้อยลงทุกวัน  ในที่สุดก็หมดไป  การวิปัสสนาอย่างนี้ไม่กระทบกระเทือนเวลาการทำงานในหน้าที่ของท่าน  มีแต่จะเสริมสร้างงามและชีวิตของให้ดีขึ้น  เพราะการปฏิบัติอย่างนี้จึงมีปัญญา (ความรู้ที่ดับทุกข์หรือแก้ปัญหาได้)  เกิดขึ้นมาพร้อมกับการทำงานหรือการดำเนินชีวิตของท่าน  ปัญญาที่เกิดขึ้นก็จะแก้ปัญหาให้กับท่านตั้งแต่ถูกกระทบสัมผัส  แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไปอีกก็ไม่มี  อุปมาเหมือนเมล็ดมะม่วงที่งอกขึ้นมาเราก็รีบบี้มันทิ้งเสียทีที่มันงอก  มะม่วงก็ไม่มีต้นเกิดขึ้นให้รกรุงรังในบ้านของเราอีกฉันใดก็ฉันนั้น

       การที่เราเอาความจริงของโลกและชีวิตตามกฎธรรมชาติ 2 กฎ  ดังกล่าวนั้นมาตั้งไว้ที่ตา  หู  จมูก ลิ้น  กาย  ใจ   ที่เป็นทางแห่งการเกิดทุกข์หรือปัญหาเป็นฐานรองรับการกระทบสัมผัสอย่างนี้เรียกว่า  เอาความจริง หรือปัญญา หรือสัมมาทิฐิ   มาตั้งรับกระทบสัมผัส  แล้วจะทำให้ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) หรือความคิดถูกต้องเกิดขึ้น  

       ต่อไปองค์ธรรมของมรรคมีองค์ 8  เกิดขึ้นครบ  คือ  สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ  นี่แหล่ะคือหลักสายกลาง หรือหลักแห่งความพอดีของชีวิต  ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในทางสุดโต่งทางใดทางหนึ่งคือ ความพอใจและไม่พอใจ  เมื่อคนเราปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6  อย่างนี้ตลอดเวลา  องค์ธรรมของการบรรลุมรรค  ผล  นิพพาน  เกิดขึ้นตามครบโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ  คือ สติปัฏฐาน 4  สัมมัปปทาน 4  อิทธิบาท 4  อินทรีย์ 5  พละ 5  โพชฌงค์ 7  เมื่อมีองค์ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นครบเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้วชีวิตของเราก็จะพบความพอดีของชีวิตถาวร  ซึ่งชีวิตของมนุษย์ทุกคนต้องการความต้องการอันนี้ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคน  ถ้าสภาวะจิตเบาบางจากกิเลสตัณหาลงไปบ้าง  ก็จะมองเห็นความจริงอันนี้ได้

       นี่คือหลักการและหลักปฏิบัติให้ชีวิตของเราเอง เข้าไปถึงความพอดีของชีวิต  ความพอดีของชีวิตทุกคนอยู่ที่การรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเราทาง ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ในขณะปัจจุบันตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า  สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ  เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้นไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง  ว่างจากตนและของตน  รู้เห็นอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้ไม่ประมาท  เมื่อไม่ประมาทแล้วก็จะนำพาตัวเองตั้งอยู่ในความพอดีของชีวิต

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้