Last updated: 13 ต.ค. 2562 | 692 จำนวนผู้เข้าชม |
ความคิดเห็นของคนเรา เป็นเรื่องของนามธรรมหรือ จิตใจ ไม่สามารถดูด้วยตาได้
ใจของเรามีหน้าที่อยู่ 4 อย่าง คือ
รับ (เวทนา) จำ (สัญญา) คิด (สังขาร) รู้ (วิญญาณ)
เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสอินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตใจ ก็จะทำหน้าที่รับ จำ คิด รู้ อย่างนี้เกิดขึ้นทั้ง 6 ทาง แล้วประมวลข้อมูลที่ถูกกระทบสัมผัสทั้งหมด เป็นความพอใจและไม่พอใจเข้าไปเก็บไว้ในจิตใจ หรือ Hard disk ใจของคนเรานี้มีลักษณะที่ถมไม่เต็มเก็บข้อมูลได้หาที่สิ้นสุดไม่ ในใจของคนทุกคนจึงมีข้อมูลการเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วนฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก
ฉะนั้น ความคิดเห็นของคนเรา ก็คือผลกรรม หรือการกระทำของเราในอดีตที่ผ่านมา มีทั้งอดีตใกล้อดีตไกล ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเอามาเก็บไว้ในใจ พูดง่าย ๆ ก็คือบุญบาปที่เกิดจากการกระทำของเราในอดีตและปัจจุบันตัวของเราทั้งหมดนี้ คือ ผลของอดีต เมื่อมีอะไรมากระทบอินทรีย์ 6 ทุกครั้ง ที่เรียกว่า อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหมดคือ ผลของการกระทำของเราในอดีตและปัจจุบัน มีทั้งเป็นสิ่งที่ดีและไม่ดีมากระทบสัมผัสตัวเรา ข้อมูลที่อยู่ในใจของเราก็จะออกมารับการกระทบแล้วปรุงแต่งต่อไป ทำให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ และเกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วนำไปสู่การกระทำต่อไปทำให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ และเกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วนำไปสู่การกระทำต่อไปในทางกาย ทางวาจา และทางใจ มีผลเป็นบุญเป็นบาป เกิดขึ้นต่อไปอีกอย่างนี้หาที่สิ้นสุดไม่ได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ข้อมูลใหม่ก็เก็บไว้ในจิตใจต่อไป
สิ่งที่มากระทบสัมผัสอินทรีย์ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ของแต่ละคนนั้นคือ ผลรวมของการกระทำในอดีตของเรานั่นเองตามมาให้ผล จะเห็นว่าพวกเราแต่ละคนในแต่ละครั้งได้รับการกระทบสัมผัสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะผลการกระทำที่เรียกว่ากรรมนั้นแตกต่างกัน จึงได้รับผลกระทบแตกต่างกันในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “กรรมหรือ การกระทำนั้น จำแนกบุคคลให้แตกต่างกัน ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเองมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์” กรรมหรือการกระทำ ทำให้คนเรามีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกัน ความคิดนึกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะข้อมูลที่สั่งสมไว้ในจิตใจแตกต่างกัน เช่น บางครั้งจะเห็นว่าเมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสเหมือนกัน บางคนพอใจ บางคนไม่พอใจ กับสิ่งที่มากระทบตัวเอง อย่างนี้เป็นต้น
กรรม หรือ การกระทำ ของคนเราที่กระทำลงไปนั้นแต่ละครั้ง มีผลออกมาเป็น บุญและบาป แล้วเก็บไว้ในจิตใจ ในจิตใต้สำนึกของเราทุกคนจะมีผลการกระทำที่เป็นบุญเป็นบาปแล้วเก็บมากมายจนนับไม่ได้ เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน บุญบาปที่เป็นผลของกรรมหรือการกระทำของเรานี้ เป็นผู้กำหนดจิตใจของคนเราแต่ละคน ความคิดนึกของคนเราแต่ละครั้งจะถูกแรงผลักดันที่เป็นบาปนี้ ผลักดันออกมาแล้วแต่ว่าช่วงไหน จังหวะไหนถ้าบุญมีมากกว่าในขณะนั้นบุญก็ผลักดันให้เราคิด แต่ถ้าช่วงไหนบาปมีพลังมากกว่า บาปก็ผลักดันออกมาเป็นความคิดนึกของเรา บุญและบาปที่เราทำไว้นอกจากจะเป็นแรงผลักดันให้คนเราคิดนึกแล้ว ยังมีผลที่เป็นบุญเป็นบาปมาในรูปของ อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ มากระทบสัมผัสเพื่อให้ผล ถ้าเป็นส่วนของบุญ สิ่งที่มากระทบสัมผัสก็เป็นสิ่งไม่ดีงามทำให้เราไม่พอใจอย่างนี้เป็นต้น มากระทบตัวเราตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย ในวิธีชีวิตของคนเราบุญบาปก็จะเข้ามากระทบสัมผัสตัวของเราดังที่กล่าวมาแล้ว
สรุป ความคิดนึกของคนเราทุกคน ก็คือ ความเคยชินที่เป็นบุญเป็นบาป ที่ได้มาจากความพอใจหรือไม่พอใจ เมื่อถูกกระทบสัมผัสได้สั่งสมไว้ในใจ โดยการกระทำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาปรับแต่งเป็นความคิดที่เรียกว่าสังขาร ความคิดของคนเราจะเกิดจากข้อมูลเก่าที่เรียกว่า สัญญา (ความจำ) ที่เป็นบุญเป็นบาปที่เก็บไว้ในใจ เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสกับ อินทรีย์ 6 ข้อมูลเก่าที่เก็บไว้ในใจก็จะออกมารับแล้วปรับแต่งต่อไป มีผลออกมาเป็นความพอใจ และไม่พอใจทุกครั้ง เป็นกรรมใหม่เกิดขึ้นสะสมต่อไปวนเวียนอยู่อย่างนี้หาที่สิ้นสุดไม่ได้ และถ้าไม่พบทางดับทุกข์ที่เป็นทางสายเอก ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกลมหายใจ
พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ว่า ถ้าบุคคลใดไม่มีปัญญารู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิตที่มาสัมผัสกับตัวของเราตลอดเวลาแล้วก็จะไปหลงพอใจ หรือไม่พอใจกับสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวเราตามผลของกรรมที่เราได้กระทำไว้ จากนั้นก็เอาความพอใจและไม่พอใจนั้น ไปคิดปรุงแต่งต่อไปแล้วถ่ายทอดไปสู่การกระทำต่อไปอีก ผลก็จะออกมาเป็นการสร้างกรรมใหม่ที่มีผลเป็นบุญเป็นบาปเก็บเพิ่มเติมไว้ในใจของคนเราต่อไปอีกหาที่สิ้นสุดไม่ได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ความพอใจหรือไม่พอใจนั้น คือ ความหลงหรือเรียกว่า อวิชชา ต้นเหตุหรือสมุทัยของทุกข์ทั้งปวง
พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านพบทางดับทุกข์ แล้วตรัสแสดงบอกทางดับทุกข์ไว้ให้ ท่านบอกไว้ว่าทุกข์เกิดที่ไหนให้ดับที่นั่น ทุกข์เกิดที่อินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหล่ะชีวิตที่มากระทบสัมผัสตัวเองแล้วไปหลงพอใจไม่พอใจกับสิ่งเหล่านั้น จึงทำให้เกิดทุกข์ ถ้าต้องการดับทุกข์ ก็ให้ฝึกฝนตนเองตามทางสายเอกที่พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้คือ การวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6 ให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต ในขณะปัจจุบันว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง เกิดจากเหตุและปัจจัย ให้พิจารณาอย่างนี้แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัส กับตัวของเราตามความจริงของโลกและชีวิต แล้วความพอใจ หรือไม่พอใจ คือ ความหลง หรืออวิชชา ก็ไม่เกิดขึ้นมา นำความคิดของเราไปสู่การกระทำ ต่อไปความพอใจและไม่พอใจ ก็ไม่มีเหตุปัจจัยเพิ่มเติมให้เกิดขึ้นมาอีก เมื่อเหตุปัจจัยหมดแล้ว ความทุกข์ก็หมดไม่เกิดขึ้นมาอีก เรียกว่าดับทุกข์พบสุขถาวร ตามที่ชีวิตของทุกคนต้องการ และตั้งเป้าหมายไว้ในการเกิดมาเป็นคน ผู้นั้นก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ไม่มีปัญหามารบกวนจิตใจอีก
30 ก.ย. 2562
30 ก.ย. 2562
30 ก.ย. 2562
30 ก.ย. 2562