วิปัสสนา ดับทุกข์และสร้างสุขถาวรได้อย่างไร

Last updated: 13 ต.ค. 2562  |  524 จำนวนผู้เข้าชม  | 

วิปัสสนา ดับทุกข์และสร้างสุขถาวรได้อย่างไร

       วิปัสสนาดับทุกข์ได้อย่างไร?  คนเราเกิดมาแล้วต้องการหนีทุกข์ไปหาสุขกันทุกคน  แต่ละคนก็มีวิธีการไปหาสุขแตกต่างกันไป  ตามความคิดเห็นของตนเองบางคนก็หาสุขไปตลอดชีวิต  ยังไม่พบความสุขจริง ๆ  ที่ตัวเองต้องการ  บุคคลที่ประสบความสำเร็จที่หนีทุกข์ไปหาสุขสำเร็จเป็นคนแรก ก็คือ พระพุทธเจ้า  ต่อมาพระองค์ได้นำพระธรรมคำสอนของท่านที่พระองค์ได้ตรัสรู้เรื่องดับทุกข์ไว้มาสอนชาวโลก ถึง 45 พรรษา  คำสอนมีทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์  และชาวโลกได้นำพระธรรมคำสอนของพระองค์ได้ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติฝึกฝนตนเองได้ตรัสรู้พระธรรมตามพระองค์ท่านแล้วมากมาย  เรียกว่าพระอรหันต์สาวก  มีทั้งเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์  นักปราชญ์  ราชบัณฑิต  และประชาชน คนธรรมดาทั่วไป  พระองค์จึงเป็นศาสดาเอกของโลก   พระองค์ได้ตรัสพระธรรมคำสอนซึ่งเป็นทางสายเดียวที่ปฏิบัติถูกธรรมแล้วดับทุกข์ได้ในชาตินี้

      พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่าทุกข์คนเรามี 2 อย่าง  

อย่างที่ 1  คือทุกข์ที่เป็นธรรมชาติ  หรือทุกข์อริยสัจจะ  คือทุกข์ที่เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  

ทุกข์อย่างที่ 2 คือ  ทุกข์ที่คนเราสร้างขึ้นมาเอง โดยไม่รู้เท่าทันที่มากระทบสัมผัสตัวของเราทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต  จึงไปหลงพอใจไม่พอใจกับสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวเรา  ความพอใจแปลว่า โลภ  ความไม่พอใจแปลว่า โกรธ  ตามไม่ทันความพอใจ  และไม่พอใจ  เรียกว่า ความหลง  หรือโมหะ  ถ้าเราไปหลงพอใจไม่พอใจต่อสิ่งที่มากระทบสัมผัสเราอย่างนี้  เรียกว่าเราบำเพ็ญ โลภะ  โทสะ  โมหะ  หรือโลภ  โกรธ  หลง  ให้กับตัวเราเองทันที  โลภะ  โทสะ  โมหะ  นี้เรียกว่า  สมุทัยของทุกข์ทั้งปวง หรืออวิชชาเกิดขึ้น  และขบวนการเกิดดับตามหลักปฏิจจสมุปบาทก็เกิดขึ้นครบวงจรของทุกข์  จะเห็นได้ว่าทุกข์ที่คนเราสร้างขึ้นทุกลมหายใจ  ทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  นี้เป็นเหตุปัจจัยให้ทุกข์อริยสัจจะหรือทุกข์ที่เป็นธรรมชาติ เกิดขึ้นแก่ตัวเรา คือ  มีเกิด  มีแก่  มีเจ็บ  มีตาย ในที่สุด  วนเวียนอยู่อย่างนี้นับภพนับชาติไม่ถ้วนต่อไป

      ถ้าเราจะดับทุกข์ทั้ง 2 อย่าง ให้กับตัวเราเองได้นั้น  ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้ให้จบ พระธรรมคำสอนทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ก่อน  จะเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระองค์ว่า  พระองค์ตรัสสอนทางดับทุกข์ได้ คือ การวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6  ให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตัวของเราทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต  ในขณะปัจจุบันว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ  เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง

      ถ้าเราจะนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไปปฏิบัติฝึกฝนตนเองให้ดับทุกข์ได้  ต้องรู้เข้าใจด้วยว่าทุกข์ที่เราสร้างขึ้นนั้น  สร้างด้วยความหลง หรือความเชื่อ  จะดับทุกข์ หรือดับความเชื่อได้ก็ต้องเอาความจริงมาดับ  ความจริงที่จะดับความเชื่อได้นั้น  ต้องเป็นความจริงของโลกและชีวิตที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้  คือกฎธรรมชาติ 2 กฎ  

     กฎแรกคือ  กฎไตรลักษณ์  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  (เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไป)  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้หรือโลกไหน ๆ  รวมทั้งชีวิตของเราทั้งหมดอยู่ ในกฎนี้ คือความจริงข้อที่ 1  

     กฎอันที่ 2 คือ กฎของเหตุปัจจัย  หรือ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท  ในโลกนี้  หรือโลกไหน ๆ  รวมทั้งชีวิตของเรา  ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอย ๆ  หรือบังเอิญ  มีเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวให้เราเกิดก็เกิด  ให้เราตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่  ให้เราแตกสลายก็แตกสลาย  นี่คือความจริงของโลกและชีวิตข้อที่ 2  

     สรุปกฎธรรมชาติ 2 กฎนี้ว่า ไม่เที่ยง เกิดดับ  เมื่อรู้ความจริงของโลกและชีวิตว่า  สิ่งทั้งปวง  ไม่เที่ยง  เกิดดับ  แล้วเอาความจริงนี้ไปปฏิบัติวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6  ให้รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเรา  ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตในขณะปัจจุบัน  เพื่อให้เกิดปัญญาและเอาปัญญา ไปดับทุกข์ ดังนี้

 
      วิธีปฏิบัติ  เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ก็ให้ฝึกสติดึงระลึกหรือลากเอา  ความจริงของโลกและชีวิตตามกฎ  ธรรมชาติ 2 กฎนี้  มาตั้งไว้ในใจก่อนว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบตัวเรา  ไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ (ใหม่เก่าแตกสลายหนุ่มแก่ตาย)  จากนั้นอะไรมากระทบสัมผัสอินทรีย์ 6  คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ให้พิจารณาดังนี้  ตาเห็นรูปอะไรพิจารณาว่า  รูปไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  หูได้ยินเสียง ให้พิจารณาว่า  เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  จมูกได้กลิ่น ให้พิจารณาว่า กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ลิ้นกระทบรส ให้พิจารณาว่า รสไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  กายกระทบสัมผัส ให้พิจารณาว่า สิ่งที่มากระทบสัมผัสไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ใจคิดนึก ขึ้นมาให้พิจารณาว่า  ความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ  ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ  ให้พิจารณาให้เห็นความจริงทั้ง 2 ด้าน อย่างนี้  ตลอดเวลาจนเป็นปกตินิสัยในชีวิตประจำวัน  
      ความจริงก็จะไปดับความเชื่อ  หรือความหลง  ความพอใจ  ความไม่พอใจ  ที่เกิดขั้นทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  นั่นคือ ความโลภ  โกรธ  หลง หรือโลภะ  โทสะ  โมหะ  เหตุปัจจโยหรือสมุทัยของทุกข์ทั้งปวง  หรือดับอวิชชาได้ทันที ณ ที่มันเกิด  นั่นคือ  ดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาได้  ซึ่งทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมานี้เป็นเหตุปัจจัยของทุกข์อริยสัจจะ  หรือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  เมื่อดับอวิชชาได้ แล้วก็ดับความเกิดได้  เมื่อดับความเกิดได้  ความแก่  ความเจ็บ  ความตาย  ก็ไม่มีต่อไป จึงดับทุกข์ถาวรได้

      การปฏิบัติวิปัสสนา ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง  มีปัญญาดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมา และทุกข์ที่เป็นธรรมชาติได้อย่างนี้  เพราะเอาความจริงของโลกและชีวิตที่เป็นกฎธรรมชาติ 2 กฎ  ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ มาดับความเชื่อที่เป็นความพอใจ และไม่พอใจ  ที่เกิดขึ้นทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ทันทีที่ถูกกระทบสัมผัส  โดยเอา สัมมาทิฐิ หรือความจริง หรือปัญญา  มาตั้งเป็นฐานรับการกระทบสัมผัสไว้ที่ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ   ความคิดที่เกิดต่อจากนี้ก็เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือดำริชอบ  หรือสัมมาสังกัปปะเกิดขึ้นต่อไป  องค์ธรรมของมรรคมีองค์ 8  ก็เกิดขึ้นครบถ้วนตามมา  จากนั้นสติปัฏฐาน 4  สัมมัปปทาน 4  อิทธิบาท 4  อินทรีย์ 5  พละ 5  โพชฌงค์ 7   เกิดขึ้นครบโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ  นี่คือองค์ธรรมของการบรรลุมรรคผลนิพพาน  เกิดขึ้นมีปัญญาเกิดขึ้น ดับทุกข์ตั้งแต่ถูกกระทบไป จนถึงทุกข์ถาวรในชาติปัจจุบันนี้  คือดับทุกข์ได้ทั้งทุกข์อริยสัจจะ และทุกข์ที่เราสร้างขึ้น  และพบสุขถาวรตลอดไป  นี่คือวิปัสสนาดับทุกข์ได้อย่างนี้

วิปัสสนาสร้างสุขถาวรได้อย่างไร?

      เมื่อคนเราดับทุกข์ได้บ้างแล้ว  ก็สามารถสร้างสุขให้ตัวเราเองได้ตลอดเวลา  มนุษย์ปุถุชน  คนธรรมดาไม่สามารถสร้างสุขจริง ๆ  ให้กับตัวเองได้เลย  เพราะในใจของคนปุถุชนไม่มีข้อมูลที่นำมาปรุงแต่งสร้างสุขที่เป็นสัญญา (ความจำ)  อยู่ในใจมีแต่ข้อมูลสร้างทุกข์  นั่นคือ  ความพอใจ  หรือไม่พอใจ  บรรจุอยู่ในใจเป็นสัญญา (ความจำ)  อยู่ตลอดเวลา  และอยู่เต็มเปี่ยมในใจ  เมื่อมีอะไรมากระทบอินทรีย์ 6  คือ ตา  หู จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  สติก็จะระลึก ลากหรือดึงเอาข้อมูลที่ปรุงแต่งทุกข์  คือ  ความพอใจ ไม่พอใจ ออกมารับการกระทบสัมผัสทุกครั้ง  ข้อมูลความพอใจหรือไม่พอใจก็จะไปปรุงแต่งทุกข์ให้เกิดขึ้นเป็นความคิดก่อน แล้วต่อไปเป็นคำพูด  จากนั้นไปสู่การกระทำ  เมื่อคิดผิด  พูดผิด  ผลออกตามมาก็ผิด  เมื่อผลออกมาผิดก็เกิดทุกข์  ในชีวิตความเป็นอยู่ของปุถุชนคนธรรมดาก็จะตกอยู่ในวังวนของความทุกข์  อย่างนี้ไปนับภพนับชาติไม่ถ้วน  เพราะไม่มีข้อมูลสร้างสุขเก็บไว้ในใจ  มีแต่ข้อมูลสร้างทุกข์ อุปมาเหมือนเราเห็น  ก. สติก็จะดึงเอาความาจำคำว่า ก.  ออกมารับกระทบทางตา  เราจึงรู้เข้าใจว่านี้คือ ก.  เพราะ ก.  เป็นข้อมูลที่ใจเก็บไว้เป็นสัญญา (ความจำ)  แต่พอเราเห็น ตัวหนังสือจีน  สติก็ไปความหาข้อมูลที่เป็นสัญญา (ความจำ)  เกี่ยวกับ ตัวหนังสือจีน  ปรากฏว่าในใจของเราไม่มีข้อมูล ตัวหนังสือจีน  บรรจุอยู่เราจึงไม่มีข้อมูลให้สติลากออกมารับการกระทบสัมผัส  เราก็อ่านตัวหนังสือไม่ได้  ฉันใดก็ฉันนั้น  สุขและทุกข์เป็นธรรมชาติเกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวแล้วเกิดขึ้น  ไม่ใช่โดยบังเอิญหรือเกิดขึ้นลอย ๆ

      ถ้าเราฝึกฝนตนเองโดยการเจริญปัญญา วิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6  ตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ให้แล้ว  เราก็จะมี ปัญญาหรือความรู้ที่ดับทุกข์ได้ คือ  รู้ความจริงของโลกและชีวิตตามกฎธรรมชาติ 2 กฎ  ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้  คือ  กฎไตรลักษณ์  และกฎเหตุปัจจัย หรือ อิทัปปัจจยตา  ปฏิจจสมุปบาท  เป็นความจริงหรือปัญญา หรือสัมมาทิฐิเก็บไว้ในใจของเรา   เมื่อมีอะไรมากระทบตัวเราในขณะปัจจุบัน หรืออินทรีย์  6  สติก็จะระลึกหรือดึง หรือลากเอาความจริง หรือปัญญา หรือความรู้ที่ดับทุกข์ได้ออกมา รับการกระทบสัมผัสทุกครั้ง  ดับทุกข์หรือแก้ปัญหาได้แล้ว มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งสุขให้กับตัวของเราได้ทันที  เมื่อดับความเชื่อคือความพอใจและไม่พอใจ ที่เป็นข้อมูลสร้างทุกข์ได้แล้ว  คนเราก็จะมีข้อมูลปรุงแต่งสร้างสุขเกิดขึ้นแทนเก็บอยู่เต็มใจของเรา  คนเราก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา  คือ  มีความรู้ที่ดับทุกข์ได้เก็บอยู่ในใจ  เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสตัวของเรา  สติก็จะลากเอาข้อมูลที่เป็นจริงออกมาสร้างสุขหรือปรุงแต่งสุขให้กับตัวเอง  ชีวิตของเราก็อยู่ด้วยปัญญาหรือความจริง (ไม่มีความเชื่อหรือความหลงมาครอบงำเคลือบคลุมบดบัง)  จิตใจก็ผ่องใสมีความสุขจริงเกิดขึ้นทันทีอยู่ตลอดเวลา  เพราะข้อมูลที่เป็นเหตุปัจจัยในการสร้างทุกข์ดับไปหมดแล้ว  เหลือแต่ข้อมูลที่เป็นเหตุปัจจัยในการสร้างสุขเท่านั้น ที่เก็บไว้ในใจของเรา  เมื่อมีอะไรมากระทบ  สัมผัสอินทรีย์ 6  สติก็จะลาก หรือระลึกเอาข้อมูลสร้างสุขที่เก็บไว้ในใจ ออกมาปรุงแต่งสุขทันทีอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา และในที่สุด  จิตใจก็เป็นอิสระปลอดโปร่งจากโลภ  โกรธ  หลง  หรือ อวิชชา  ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงกังวลเกี่ยวกับตัวตนอีก  ไม่ต้องคอยเสาะแสวงหาสิ่งเสพเสวยทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  และไม่ต้องคอยปกป้องความยิ่งใหญ่ของตนเอง ที่แบกถือเอาไว้อย่างเมื่อก่อน ๆ  อีกต่อไป  จิตใจก็เปิดกว้างแผ่ความรู้สึกอิสระออกไปทั่วสารทิศ  จิตใจก็มีแต่เมตตากรุณา  แผ่ขยายออกไป  จะอยู่ที่ไหนอย่างไรก็มีความสุขตลอดเวลา  ในที่สุดก็สร้างสุขถาวรให้กับตัวเองได้สำเร็จในชาตินี้  นี่คือการวิปัสสนาภาวนาที่ถูกต้อง  ตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกทางไว้  แล้วมีปัญญาดับทุกข์และสร้างสุขถาวรให้กับตัวเองได้อย่างนี้

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้